คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 190/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายชกจำเลยล้มลงกับพื้นแล้วยังเข้าเตะซ้ำอีกโดยปราศจากเหตุผลมาก่อน แม้จะปรับความเข้าใจกันแล้ว แต่ ป. ซึ่งออกวิ่งไล่ทำร้ายพวกของจำเลยในทันทีทั้ง ๆ ที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดได้กลับมาจะเข้าทำร้ายจำเลยอีก จนผู้เสียหายต้องเข้าห้ามไว้ถึงขนาดต้องยื้อยุดฉุดกัน ป. ก็ยังแสดงท่าทีจะเข้าทำร้ายจำเลยอีกพฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่เนื่องด้วยไม่ปรากฏว่า ป. มีอาวุธอะไรเพียงแต่จะเข้าทำร้ายเท่านั้นการที่จำเลยยิง ป. แต่กระสุนพลาดไปถูกผู้เสียหาย จึงเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่า ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 จำคุก 10 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม จำคุก 6 ปี 8 เดือนฐานมีอาวุธปืน ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 72 จำคุก 2 ปีฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะ ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 3 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งจำคุก 1 ปี 6 เดือน รวมโทษจำคุก 8 ปี 2 เดือน จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องฐานพยายามฆ่า นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาในชั้นฎีกาว่าจำเลยกระทำผิดฐานพยายามฆ่าหรือไม่ นายนคร พงษ์จันทร์ ผู้เสียหายเบิกความว่า ขณะที่นั่งรับประทานอาหารได้ยินมารดาพูดว่าไม่ต้องยุ่งกับครอบครัวเขา จึงวิ่งไปดูเห็นจำเลยกับเพื่อนจำเลยจะทำร้ายมารดาผู้เสียหาย จึงเข้าไปต่อยจำเลยล้มลงแล้วเตะซ้ำ เมื่อผู้เสียหายเดินออกไปที่หน้าบ้าน มารดาผู้เสียหายและจำเลยเดินตามออกไปปรับความเข้าใจกันได้ ต่อมานายปฏิมาเข้ามาถามว่าคนไหน คนไหนผู้เสียหายตอบว่าไม่มีอะไรแล้ว จำเลยเดินเลี่ยงไปทางด้านหลังผู้เสียหาย แล้วเสียงปืนดังขึ้น 1 นัดถูกข้างหลังผู้เสียหายแล้วจำเลยวิ่งหนีไป นายปฏิมาเบิกความว่าเมื่อได้ยินเสียงชกต่อยได้ออกไปดู เห็นจำเลยนอนอยู่ ผู้เสียหายจะชกกับเพื่อนของจำเลยพยานถือขวดสุราจะเข้าไปตีเพื่อนจำเลย เพื่อนจำเลยวิ่งหนี พยานไล่ตามแต่ไม่ทันจึงกลับมาที่เกิดเหตุ พบผู้เสียหาย มารดา และจำเลยพยานถามว่าคนไหน คนไหนผู้เสียหายตอบว่าพอแล้ว เมื่อผู้เสียหายหันหลังจะกลับเข้าบ้านก็ถูกจำเลยยิง 1 นัด ตามคำเบิกความของพยานทั้งสองดังกล่าวนี้แสดงว่าจำเลยและผู้เสียหายปรับความเข้าใจกันได้แล้ว หากไม่มีเหตุการณ์ใหม่เกิดขึ้นไม่มีเหตุผลที่จำเลยจะยิงผู้เสียหายอีก ทั้งคำเบิกความของพยานตอนนี้แตกต่างขัดกัน คือผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยเดินเลี่ยงไปทางข้างหลังผู้เสียหายแล้วเสียงปืนดังขึ้น แต่นายปฏิมาเบิกความว่าเมื่อผู้เสียหายหันหลังจะกลับเข้าบ้านจำเลยจึงยิง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยยิงผู้เสียหายในลักษณะดังกล่าว ผู้เสียหายเบิกความตอบทนายจำเลยว่าก่อนจะเกิดเหตุนายปฏิมาทำท่าจะต่อยจำเลยอีก จำเลยจึงยิงกระสุนถูกผู้เสียหายตามแผนที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.1 ระบุรายละเอียดว่าผู้เสียหายหันไปห้ามนายปฏิมาโดยหันหลังให้จำเลยแล้วถูกคนร้ายยิงแผนที่เกิดเหตุได้กระทำในคืนเกิดเหตุ น่าจะกระทำไปตามความจริงจึงฟังได้ว่าขณะนั้นนายปฏิมาจะเข้าทำร้ายจำเลยผู้เสียหายห้ามไว้จำเลยยิงนายปฏิมาแต่กระสุนพลาดไปถูกผู้เสียหาย ส่วนข้อนำสืบของจำเลยว่า เมื่อจำเลยถามมารดาผู้เสียหายว่ามีเรื่องอะไรกันแล้วมีคนกระโดดลงมาทางหน้าต่างเข้าทำร้ายจำเลย จำเลยวิ่งหนีผู้เสียหายกับพวก 2-3 คน ไล่ทำร้ายจำเลยชักอาวุธปืนออกมาก็ถูกพวกผู้เสียหาย ซึ่งถือไม้และขวดสุราตีข้อมือทำให้อาวุธปืนตกลั่นขึ้น1 นัด เห็นว่าเป็นข้อนำสืบที่ขาดเหตุผล หากอาวุธปืนตกและลั่นขึ้นในลักษณะดังกล่าวไม่น่าจะถูกข้างหลังของผู้เสียหายได้ ทั้งขัดกับคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนที่อ้างว่าได้ยิงอาวุธปืนเข้าไปในกลุ่มของผู้เสียหายเพื่อป้องกัน นายสมศักดิ์ ยอดสุวรรณพยานจำเลยเบิกความว่าเห็นจำเลยวิ่งหนีออกจากซ่องโสเภณี ผู้เสียหายกับพวก 4-5 คนวิ่งไล่ตาม แล้วเสียงอาวุธปืนดังขึ้น เป็นคำเบิกความที่ขัดกับคำให้การของพยานในชั้นสอบสวน ซึ่งให้การว่าจำเลยพูดกับผู้เสียหายที่หน้าบ้าน ผู้เสียหายหันไปห้ามนายปฏิมา แล้วเสียงปืนดังขึ้นและพยานได้ลงชื่อไว้ในแผนที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.1ซึ่งมีรายละเอียดขัดกับคำเบิกความของพยาน ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ดังที่จำเลยนำสืบ หากแต่ฟังได้ว่านายปฏิมาจะเข้าทำร้ายจำเลยผู้เสียหายห้ามไว้ แล้วจำเลยยิงนายปฏิมาแต่กระสุนพลาดไปถูกผู้เสียหายดังที่ได้วินิจฉัยไว้ตอนต้น มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการป้องกันสิทธิของตนและพอสมควรแก่เหตุหรือไม่ เห็นว่า จำเลยถูกผู้เสียหายชกต่อยถึงกับล้มลงกับพื้นแล้วผู้เสียหายยังเข้าเตะซ้ำโดยปราศจากเหตุผลมาก่อน แม้จะปรับความเข้าใจกันได้แล้ว แต่ในเวลาเดียวกันนายปฏิมาซึ่งถือขวดสุราออกวิ่งไล่ตามไปทำร้ายพวกของจำเลยได้กลับมาและจะเข้าทำร้ายจำเลยอีก แต่ผู้เสียหายได้ห้ามไว้ถึงขนาดต้องยื้อยุดฉุดกันดังปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 เมื่อพิเคราะห์ถึงฐานะของจำเลยซึ่งเพิ่งถูกผู้เสียหายชกต่อยถึงกับล้ม ประกอบกับพฤติการณ์ของนายปฏิมาซึ่งออกมาวิ่งไล่ทำร้ายพวกของจำเลยโดยทันทีโดยที่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดมาก่อน แสดงว่าน่าจะเป็นบุคคลที่มีอารมณ์ร้ายแม้ผู้เสียหายเข้าห้ามนายปฏิมาก็ตาม แต่นายปฏิมากลับแสดงท่าทีจะเข้าทำร้ายจำเลยอีกไม่ยอมยุติ พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่เนื่องด้วยไม่ปรากฏว่านายปฏิมามีอาวุธอะไร เพียงแต่จะเข้าทำร้ายจำเลยเท่านั้น การกระทำของจำเลยดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นการป้องกันตัวแต่เกินสมควรแก่เหตุ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาพยายามฆ่า ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 60 ประกอบด้วยมาตรา 69 อีกกระทงหนึ่ง จำคุก3 ปี คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 2 ปี รวมโทษจำคุกจำเลย 3 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”

Share