คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2295/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเป็นบริษัทรับประกันชีวิตแก่ประชาชนทั่วไปจึงมีผู้เอาประกันภัยกับจำเลยเป็นจำนวนมาก โดยโจทก์นำสืบว่าการที่จำเลยปฏิเสธใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ พ. ผู้ร้องโดยอ้างอาการอ่อนเพลียของผู้เอาประกันภัยซึ่งในทางการแพทย์ถือว่าไม่ใช่โรคนั้น เป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมและไม่ใช่เพียงผู้ร้องรายเดียวที่ประสบกับเหตุลักษณะนี้ แต่คาดว่ายังมีประชาชนผู้บริโภคซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยอีกจำนวนมากที่ประสบกับเหตุลักษณะทำนองเดียวกันนี้ ทั้งจำเลยก็รับว่าไม่มีระเบียบกำหนดให้อาการน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นโรคต้องห้ามที่จะไม่รับประกันภัย ดังนั้น ที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเห็นสมควรดำเนินคดีแทน พ. ผู้บริโภค จึงมอบหมายให้โจทก์ในฐานะเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคเป็นผู้ดำเนินคดีกับจำเลย จึงเป็นการดำเนินคดีเพื่อประโยชน์แก่ผู้บริโภคเป็นส่วนรวม ชอบด้วยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภคฯ มาตรา 10(7) และมาตรา 39 แล้ว โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลย
ก่อนที่ ป. จะยื่นคำขอเอาประกันชีวิตกับจำเลย ป. เคยเข้ารับการรักษาและนอนพักในโรงพยาบาลหลายครั้งด้วยอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้ เจ็บหน้าอก ใจสั่น เพราะเหตุน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่ ป. ก็มิได้แถลงข้อความจริงในเรื่องดังกล่าวให้จำเลยทราบ ซึ่งในทางการแพทย์แล้วไม่ถือว่าการมีน้ำตาลในเลือดต่ำหรือไฮโปโกซีเมียเป็นโรคติดต่อเพราะเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับบุคคลทั่วไปที่รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา หากรับประทานอาหารเข้าไปก็จะหายโดยไม่ต้องใช้ยา แม้จำเลยจะอ้างว่าการมีน้ำตาลในเลือดต่ำอาจมีสาเหตุมาจากการดื่มสุราด้วยก็ตาม แต่หากดื่มสุราและยังรับประทานอาหารตรงเวลาอาการน้ำตาลในเลือดต่ำคงไม่เกิดขึ้นทั้งจำเลยก็ไม่มีระเบียบว่า ผู้เอาประกันภัยที่มีน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นโรคต้องห้ามมิให้ทำสัญญาประกันชีวิต ได้ความว่าก่อนรับทำสัญญาประกันชีวิต จำเลยได้จัดให้แพทย์ทำการตรวจสุขภาพของ ป. แล้ว ซึ่งปรากฏว่าป. มีสุขภาพแข็งแรง ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าอาการน้ำตาลในเลือดต่ำของ ป. เกิดจากการดื่มสุราจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ฉะนั้นที่ ป. ไม่เปิดเผยเรื่องนี้ให้จำเลยทราบจึงไม่อาจอนุมานเอาได้ว่า ถ้าได้เปิดเผยข้อความจริงเช่นนั้นจะจูงใจให้จำเลยบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาอันจะทำให้สัญญาประกันชีวิตระหว่าง ป. กับจำเลยตกเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคหนึ่ง จำเลยไม่มีสิทธิบอกล้างสัญญาได้ เมื่อ ป. ถึงแก่ความตาย เนื่องจากอุบัติเหตุขับรถจักรยานยนต์ โดยมิได้ทำผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยก็ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ พ. ผู้รับประโยชน์ตามสัญญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ได้รับแต่งตั้งจากคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 39 ให้เป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค และได้รับมอบหมายให้โจทก์ดำเนินคดีแก่จำเลย จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียนที่เมืองฮ่องกง และได้รับอนุญาตให้เปิดสาขาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2532 จ่าสิบเอกปรีชา คำคงศักดิ์ ได้ทำสัญญาประกันชีวิตแบบตลอดชีพสะสมทรัพย์พิเศษไว้กับจำเลยมีกำหนดตลอดชีพของผู้ประกันภัย จำนวนเงินเอาประกันภัย 110,000 บาท และผลประโยชน์เพิ่มเติมอุบัติเหตุ (เอ.ไอ.) จำนวน100,000 บาท อุบัติเหตุ (เอ.ดี.ดี.) จำนวน 100,000 บาท สัญญาเพิ่มเติมประกันภัยมีกำหนดระยะเวลา 15 ปี จำนวน 100,000 บาท รวมเป็นเงิน 410,000 บาท หากผู้เอาประกันภัยถึงแก่ความตายภายในกำหนดระยะเวลาประกันภัยและเกิดจากอุบัติเหตุ จำเลยจะจ่ายเงินชดเชยให้แก่นางเพ็ญศรี ใจบุญ ผู้รับประโยชน์ ต่อมาวันที่ 14 สิงหาคม 2533 จ่าสิบเอกปรีชาประสบอุบัติเหตุและถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2533 นางเพ็ญศรีได้ขอรับเงินตามกรมธรรม์ประกันภัย แต่จำเลยปฏิเสธอ้างว่าจ่าสิบเอกปรีชาได้ละเว้นหรือไม่เปิดเผยความจริงถึงข้อบกพร่องของสุขภาพ อันเป็นการละเมิดสิทธิของนางเพ็ญศรีผู้บริโภค จำเลยต้องชำระเงินจำนวน 410,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2533 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 138,375 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 548,375 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 410,000บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่นางเพ็ญศรี ใจบุญ ผู้บริโภค

จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์มิได้แสดงโดยแจ้งชัดว่า โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะผู้ทำละเมิดสิทธิของผู้บริโภคหรือฟ้องให้รับผิดตามสัญญาประกันชีวิต ทำให้จำเลยไม่สามารถเข้าใจข้อหา จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม และจำเลยไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยเพราะผู้เอาประกันภัยปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพทั้งเคยรับการรักษาก่อนวันยื่นคำขอทำประกันชีวิตกับจำเลย ทำให้สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ และจำเลยได้บอกล้างโมฆียะกรรมนั้นแล้ว จึงไม่มีหน้าที่ต้องชำระเงินตามสัญญา จำเลยไม่ได้ละเมิดสิทธิของผู้บริโภค โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 410,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2533 จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่นางเพ็ญศรี ใจบุญ ผู้รับประโยชน์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 138,375 บาท ตามที่โจทก์ขอ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ประธานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคโดยมติคณะกรรมการคุ้มครอง ผู้บริโภคมีคำสั่งแต่งตั้งให้โจทก์เป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค ให้มีหน้าที่ดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญาแก่ผู้กระทำการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคในศาลตามสำเนาคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเอกสารหมาย จ.1 และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือแจ้งคำสั่งมายังกระทรวงยุติธรรมเพื่อแจ้งให้ศาลทราบแล้ว ตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.2 เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2532 จ่าสิบเอกปรีชา คำคงศักดิ์ ได้ทำสัญญาประกันชีวิตแบบตลอดชีพสะสมทรัพย์พิเศษไว้กับจำเลยจำนวนเงินเอาประกันภัย 110,000 บาทและผลประโยชน์เพิ่มเติมอุบัติเหตุ (เอ.ไอ.) จำนวน 100,000 บาท อุบัติเหตุ (เอ.ดี.ดี.)จำนวน 100,000 บาท สัญญาเพิ่มเติมประกันภัยมีกำหนดระยะเวลา 15 ปี จำนวน100,000 บาท โดยระบุให้นางเพ็ญศรี ใจบุญเป็นผู้รับประโยชน์ หากผู้เอาประกันชีวิตถึงแก่ความตายโดยอุบัติเหตุผู้รับประโยชน์จะได้รับเงินจากจำเลยรวม 410,000 บาท ตามสำเนากรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.7 ต่อมาวันที่ 14 สิงหาคม 2533 จ่าสิบเอกปรีชาได้ประสบอุบัติเหตุขับรถจักรยานยนต์พลิกคว่ำและถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 15สิงหาคม 2533 ด้วยสาเหตุสมองได้รับความกระทบกระเทือน ตามสำเนารายงานการตรวจชันสูตรพลิกศพ เอกสารหมาย จ.8 นางเพ็ญศรีแจ้งให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยแล้ว แต่จำเลยได้มีหนังสือลงวันที่ 26 ตุลาคม 2533 ปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าจากการตรวจสอบพบว่า ผู้เอาประกันภัยมีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ และได้รับการรักษาพยาบาลก่อนวันยื่นใบสมัครขอทำสัญญาประกันชีวิต โดยผู้เอาประกันภัยละเว้นหรือไม่เปิดเผยความจริงถึงความบกพร่องในสุขภาพดังกล่าวตามสำเนาหนังสือแจ้งผลการพิจารณาค่าชดเชยมรณกรรมเอกสารหมาย จ.9 ต่อมาวันที่ 25มิถุนายน 2534 นางเพ็ญศรีได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคตามบันทึกคำร้องเรียนเอกสารหมาย จ.10 คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องที่จำเลยเอาเปรียบผู้บริโภค จึงมีมติเห็นชอบให้ดำเนินคดีแก่จำเลยแทนนางเพ็ญศรีผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อให้ได้รับค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยโดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่คุ้มครอง ผู้บริโภคดำเนินการตามสำเนารายงานการประชุมเอกสารหมาย จ.16 ข้อ 4.3 และ จ.18 ข้อ 4.16 คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า เหตุที่จำเลยไม่ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางเพ็ญศรีเนื่องจากมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับข้อสัญญาในกรมธรรม์ประกันชีวิตโดยตรงว่าจ่าสิบเอกปรีชารู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงเกี่ยวกับความบกพร่องของร่างกายและสุขภาพซึ่งอาจจะได้จูงใจจำเลยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือรู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นเท็จทำให้สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ การที่จำเลยปฏิเสธไม่ใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวเป็นการปฏิเสธ โดยมีเหตุผลและตามกฎหมายให้สิทธิจำเลยไว้ เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงเฉพาะกรณีของจ่าสิบเอกปรีชาผู้เอาประกันภัยรายนี้เท่านั้นซึ่งจำเลยมีสิทธิบอกล้างสัญญาได้ จึงมิใช่เป็นเรื่องการไม่ปฏิบัติตามสัญญาโดยไม่เป็นธรรมซึ่งจะเป็นความเสียหายหรือกระทบต่อประโยชน์ของผู้บริโภคโดยรวม โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 10 บัญญัติว่า”คณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่ดังต่อไปนี้…(7) ดำเนินคดีเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคที่คณะกรรมการเห็นสมควรหรือมีผู้ร้องขอตามมาตรา 39” และมาตรา 39 บัญญัติว่า “ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นสมควรเข้าดำเนินคดีเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคหรือเมื่อได้รับคำร้องขอจากผู้บริโภคที่ถูกละเมิดสิทธิ ซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าการดำเนินคดีนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคเป็นส่วนรวม คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานอัยการโดยความเห็นชอบของอธิบดีกรมอัยการ หรือข้าราชการในสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางนิติศาสตร์เป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคเพื่อให้มีหน้าที่ดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญาแก่ผู้กระทำการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคในศาล และเมื่อคณะกรรมการได้แจ้งไปยังกระทรวงยุติธรรมเพื่อแจ้งให้ศาลทราบแล้ว ให้เจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคมีอำนาจดำเนินคดีตามที่คณะกรรมการมอบหมายได้” ปัญหาว่าการที่จำเลยบอกเลิกสัญญาประกันชีวิตและปฏิเสธการใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางเพ็ญศรีผู้รับประโยชน์เป็นกรณีซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าการดำเนินคดีนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคเป็นส่วนรวมหรือไม่โจทก์นำสืบว่า การที่จำเลยปฏิเสธการใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นางเพ็ญศรีผู้ร้อง โดยอ้างอาการอ่อนเพลียของผู้เอาประกันภัยซึ่งในทางการแพทย์ถือว่าไม่ใช่โรคนั้น จึงเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ร้อง และไม่ใช่แต่เพียงผู้ร้องรายเดียวที่ประสบกับเหตุลักษณะนี้ แต่คาดว่ายังมีประชาชนผู้บริโภคซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยอีกจำนวนมากที่ประสบกับเหตุลักษณะทำนองเดียวกันนี้ เพื่อป้องกันสิทธิของผู้บริโภคโดยส่วนรวมและเพื่อป้องปรามผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยทั้งหลายไม่ให้เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรม การดำเนินคดีแทนผู้ร้องจึงเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคเป็นส่วนรวม เห็นว่า จำเลยเป็นบริษัทรับประกันชีวิตแก่ประชาชนทั่วไปจึงมีผู้เอาประกันภัยกับจำเลยเป็นจำนวนมาก ที่โจทก์นำสืบว่ายังมีประชาชนผู้บริโภคซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยอีกจำนวนมากที่ประสบกับเหตุลักษณะทำนองเดียวกันนี้ ทั้งจำเลยก็นำสืบรับว่าจำเลยไม่ได้กำหนดเป็นระเบียบไว้ว่า อาการน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นโรคที่ต้องห้ามที่จำเลยจะไม่รับประกันภัย ที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเห็นสมควรดำเนินคดีแทนนางเพ็ญศรีผู้บริโภค จึงได้มอบหมายให้โจทก์ในฐานะเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคเป็นผู้ดำเนินคดีกับจำเลย จึงเป็นการดำเนินคดีเพื่อประโยชน์แก่ผู้บริโภคเป็นส่วนรวมชอบด้วยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า จำเลยต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยรับประกันชีวิตจ่าสิบเอกปรีชาหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่าก่อนที่จ่าสิบเอกปรีชาจะยื่นคำขอเอาประกันชีวิตกับจำเลย จ่าสิบเอกปรีชาผู้เอาประกันภัยเคยเข้ารับการรักษาและนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลลพบุรีหลายครั้งหลายหนด้วยอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้ เจ็บหน้าอก ใจสั่น เพราะเหตุน้ำตาลในเลือดต่ำ กรณีเป็นเรื่องที่จ่าสิบเอกปรีชาผู้เอาประกันภัยมีสุขภาพไม่สมบูรณ์และเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลก่อนทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลย แต่ไม่ได้แถลงข้อความจริงในเรื่องดังกล่าวให้จำเลยทราบในคำขอเอาประกันชีวิต ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเหตุจูงใจจำเลยให้ต้องเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่รับทำสัญญาประกันชีวิตกับจ่าสิบเอกปรีชา สัญญาดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆียะ เมื่อจำเลยได้บอกล้างแล้ว จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องใช้เงินตามสัญญาดังกล่าวให้แก่นางเพ็ญศรีผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตนั้น เห็นว่า โจทก์มีนายแพทย์กรณาธิป สุพพัตเวช ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากจำเลยให้เป็นผู้ตรวจสุขภาพของจ่าสิบเอกปรีชาเป็นพยานเบิกความว่า พยานได้ทำการตรวจสุขภาพจ่าสิบเอกปรีชาตามแบบฟอร์มที่จำเลยกำหนดไว้ท้ายกรมธรรม์ประกันภัย เอกสารหมาย จ.7 ซึ่งในขณะตรวจสุขภาพจ่าสิบเอกปรีชามีสุขภาพแข็งแรง ต่อมาพยานได้ร่วมชันสูตรพลิกศพจ่าสิบเอกปรีชากับพนักงานสอบสวน พยานได้ลงความเห็นในการถึงแก่ความตายของจ่าสิบเอกปรีชาว่าสมองได้รับความกระทบกระเทือน จึงได้ทำรายงานไว้ตามรายงานการตรวจชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย จ.8 ต่อมากรมการประกันภัยได้มีหนังสือสอบถามประวัติการรักษาของจ่าสิบเอกปรีชาโรงพยาบาลจังหวัดลพบุรีได้มอบหมายให้พยานรายงานการตรวจรักษาส่งไปให้ตามสำเนาหนังสือรายงานเอกสารหมาย ป.จ.1 และจากการตรวจสุขภาพจ่าสิบเอกปรีชาพบว่ามีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำหรือไฮโปไกซีเมีย ซึ่งเกิดจากการขาดสารอาหารหรือเลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่พอ ทางการแพทย์ไม่ถือว่าเป็นโรคติดต่อ การรักษาอาการน้ำตาลในเลือดต่ำหรือไฮโปไกซีเมียต้องให้กลูโคสซึ่งเป็นการเพิ่มน้ำตาลในเลือดให้แก่ผู้ป่วย และโจทก์มีนายแพทย์วรวิทย์ เล็บนาค อนุกรรมการกลั่นกรองเรื่องราวร้องทุกข์ของสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า อาการน้ำตาลในเลือดต่ำนั้นทางแพทย์ถือว่าเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับบุคคลทั่วไปที่รับประทานอาหารไม่ตรงเวลาไม่ถือว่าเป็นโรคใด การรักษาเพียงแต่รับประทานอาหารเข้าไปก็จะหายโดยไม่ต้องใช้ยาส่วนที่จะต้องให้ผู้ป่วยนอนในโรงพยาบาลหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความหนักเบาของอาการฝ่ายจำเลยมีนายแพทย์บุญมี สุภัครพงษ์กุล พนักงานของจำเลยเบิกความว่า การมีน้ำตาลในเลือดต่ำนอกจากจะมีสาเหตุจากการอดอาหารแล้วยังมีสาเหตุจากการดื่มสุราด้วย ซึ่งทางจำเลยเข้าใจว่าในกรณีนี้เกิดจากสาเหตุการดื่มสุรา ดังนี้ จากคำเบิกความของพยานโจทก์และพยานจำเลยดังกล่าว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าก่อนจ่าสิบเอกปรีชาจะทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลย จ่าสิบเอกปรีชาได้เคยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจังหวัดลพบุรีด้วยอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้และอาเจียน โดยอาการดังกล่าวเกิดจากน้ำตาลในเลือดต่ำสาเหตุเกิดจากการอดอาหารหรือรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา ส่วนสาเหตุจากการดื่มสุราตามที่จำเลยอ้างนั้น เห็นว่า หากดื่มสุราแต่ยังคงรับประทานอาหารตรงเวลาอาการน้ำตาลในเลือดต่ำคงไม่เกิดขึ้น และจำเลยก็ไม่ได้มีระเบียบกำหนดไว้ว่า กรณีผู้เอาประกันภัยมีน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นโรคที่ต้องห้ามมิให้ทำสัญญาประกันชีวิต ทั้งก่อนรับทำสัญญาประกันชีวิต จำเลยก็ได้จัดให้แพทย์ทำการตรวจสุขภาพของจ่าสิบเอกปรีชาก่อนแล้วปรากฏว่าจ่าสิบเอกปรีชามีสุขภาพแข็งแรง ดังนั้น ข้ออ้างของจำเลยว่าอาการน้ำตาลในเลือดต่ำของจ่าสิบเอกปรีชาเกิดจากการดื่มสุรา จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจ่าสิบเอกปรีชาผู้ตายมีสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัวที่ร้ายแรงก่อนจะทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลย และที่จ่าสิบเอกปรีชามีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำก็มิใช่โรค ฉะนั้น ที่จ่าสิบเอกปรีชาไม่เปิดเผยเรื่องนี้ให้จำเลยทราบในคำขอเอาประกันชีวิต จึงไม่อาจอนุมานเอาได้ว่าถ้าได้เปิดเผยข้อความจริงเช่นนั้นจะจูงใจให้จำเลยบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาอันจะทำให้สัญญาประกันชีวิตระหว่างจ่าสิบเอกปรีชากับจำเลยตกเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคหนึ่ง จำเลยจึงไม่มีสิทธิบอกล้างสัญญาได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจ่าสิบเอกปรีชาผู้เอาประกันภัยได้ถึงแก่ความตาย เนื่องจากอุบัติเหตุขับรถจักรยานยนต์พลิกคว่ำโดยผู้เอาประกันภัยไม่ได้ทำผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยจึงต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยรับประกันชีวิตจ่าสิบเอกปรีชาและต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางเพ็ญศรีผู้รับประโยชน์ตามสัญญาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share