คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 307/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เงินเพิ่มตาม พ.ร.บ.ศุลกากรฯ กับเงินเพิ่มภาษีการค้าตาม ป.รัษฎากรฯ และเงินเพิ่มภาษีส่วนท้องถิ่น มิใช่ดอกเบี้ยหรือค่าฤชาธรรมเนียมตาม ป.พ.พ. มาตรา 329 วรรคหนึ่ง ทั้งบทบัญญัติดังกล่าวหาใช่บทกฎหมายใกล้เคียงที่จะนำมาปรับใช้แก่คดีนี้ กรณีเป็นเรื่องลูกหนี้ต้องผูกพันต่อเจ้าหนี้ในอันจะกระทำการเพื่อชำระหนี้เป็นอย่างเดียวกันโดยมูลหนี้หลายราย ในระหว่างหนี้สินหลายรายที่มีประกันเท่าๆ กัน ให้รายที่ตกหนักที่สุดแก่ลูกหนี้เป็นอันได้เปลื้องไปก่อน เมื่อหนี้ค่าภาษีเป็นรายที่ตกหนักที่สุดแก่ลูกหนี้ เพราะมีภาระเงินเพิ่มตามกฎหมาย หนี้ค่าภาษีย่อมได้รับการปลดเปลื้องไปก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 328 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนำสินค้าต่างๆ เข้ามาในราชอาณาจักร และแสดงความจำนงขอคืนอากร พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบราคาสินค้าที่จำเลยสำแดงแล้ว เห็นว่า บางรายการต่ำกว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาดจึงแจ้งให้จำเลยทราบ จำเลยยินยอมเพิ่มราคาสินค้าและเพิ่มภาษี และถือเอาราคาสินค้าและจำนวนอากรดังกล่าวเป็นราคาสำแดงในการยื่นใบขนสินค้า ในการนำสินค้าเข้าตามใบขนสินค้าจำเลยยังมิได้ชำระค่าภาษีอากรตามที่สำแดงโดยขอให้ธนาคารค้ำประกันแทน โจทก์ที่ 1 ยอมรับหนังสือค้ำประกันของธนาคารและตรวจปล่อยสินค้าให้จำเลยรับไป แต่จำเลยมิได้นำสินค้ามาผลิตและส่งออกภายใน 1 ปี จำเลยจึงต้องชำระค่าภาษีอากรให้โจทก์ทั้งสอง กับต้องชำระเงินเพิ่มอากรขาเข้าในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนของค่าอากรที่ค้างชำระ เงินเพิ่มภาษีการค้าอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือน และต้องเสียเงินเพิ่มภาษีส่วนท้องถิ่นร้อยละ 10 ของเงินเพิ่มภาษีการค้า พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งจำนวนค่าภาษีและการประเมินซึ่งจำเลยต้องชำระให้จำเลยทราบ แต่จำเลยมิได้นำเงินค่าภาษีไปชำระและมิได้อุทธรณ์การประเมิน พนักงานเจ้าหน้าที่จึงแจ้งให้ธนาคารผู้ค้ำประกันนำเงินไปชำระ เมื่อธนาคารนำเงินมาชำระ พนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้นำเงินที่ธนาคารชำระหักจากเงินเพิ่มซึ่งจำเลยต้องชำระดังกล่าวโดยคำนวณถึงวันที่ธนาคารนำเงินมาชำระและเงินที่เหลือหลังจากหักจากเงินเพิ่มแล้วจึงนำมาหักชำระเป็นค่าภาษีที่จำเลยต้องชำระ คงเหลือจำนวนเงินภาษีที่จำเลยต้องชำระเพิ่มตามใบขนสินค้าจำนวน 59 ใบขนอีก จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระเงินเพิ่มอากรขาเข้า และเงินเพิ่มภาษีการค้า และเงินเพิ่มภาษีส่วนท้องถิ่น ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าภาษีอากร ค่าธรรมเนียมพิเศษและเงินเพิ่มตามคำฟ้องรวมจำนวน 2,856,366.75 บาท แก่โจทก์ ให้จำเลยชำระเงินเพิ่มอากรขาเข้าในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของอากรขาเข้าที่จำเลยชำระขาดตามใบขนสินค้าลำดับที่ 1 ถึง 39 รวมจำนวน 1,706,623.83 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า จำเลยชำระค่าภาษีอากรให้โจทก์ทั้งสองแล้วตามหนังสือค้ำประกันของธนาคาร เมื่อจำเลยมิได้นำสินค้าตามฟ้องมาผลิตและส่งออกไปยังเมืองต่างประเทศภายใน 1 ปี นับแต่วันที่นำเข้า เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะเรียกให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระค่าภาษีอากรและเงินเพิ่มภายในระยะเวลาดังกล่าวทันที ถือเสมือนว่าจำเลยได้ชำระค่าภาษีอากรแล้ว จึงไม่มีหนี้ค่าภาษีอากรที่จำเลยต้องชำระให้โจทก์ทั้งสองอีกและเมื่อธนาคารผู้ค้ำประกันนำเงินตามหนังสือค้ำประกันไปชำระแก่โจทก์ที่ 1 พนักงานเจ้าหน้าที่นำไปหักชำระเงินเพิ่มก่อนแล้วจึงนำมาหักชำระค่าภาษีที่จำเลยต้องชำระเป็นการไม่ถูกต้อง จำเลยชำระค่าภาษีล่วงหน้าโดยหนังสือค้ำประกันของธนาคารแล้ว โจทก์ที่ 1 จึงไม่มีสิทธิเรียกเอาเงินเพิ่มจากจำเลยอีก โจทก์ที่ 1 จึงฟ้องให้จำเลยชำระเงินเพิ่มนับแต่วันที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจปล่อยสินค้าให้จำเลยรับไปตามฟ้อง หรือจะให้จำเลยต้องรับผิดถัดจากวันฟ้องอีกไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยชำระค่าภาษีอากรที่ค้างชำระจำนวน 2,247,896.96 บาท แก่โจทก์ทั้งสองให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “…ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองมีว่า ที่ศาลภาษีอากรกลางให้นำเงินที่ผู้ค้ำประกันนำมาชำระไปหักชำระหนี้ค่าภาษีก่อนเป็นการชอบหรือไม่ เห็นว่า เงินเพิ่มตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 112 จัตวา กับเงินเพิ่มภาษีการค้าตามมาตรา 89 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น และเงินเพิ่มภาษีส่วนท้องถิ่น มิใช่ดอกเบี้ยหรือค่าฤชาธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329 วรรคหนึ่ง ทั้งบทมาตราดังกล่าวหาใช่บทกฎหมายใกล้เคียงที่จะนำมาปรับใช้แก่คดีนี้ดังที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ไม่ โจทก์ทั้งสองไม่อาจนำเงินที่ผู้ค้ำประกันชำระมาหักชำระหนี้เงินเพิ่มค่าภาษีก่อนได้ กรณีนี้เป็นเรื่องลูกหนี้ต้องผูกพันต่อเจ้าหนี้ในอันจะกระทำการเพื่อชำระหนี้เป็นการอย่างเดียวกันโดยมูลหนี้หลายราย ในระหว่างหนี้สินหลายรายที่มีประกันเท่าๆ กัน ให้รายที่ตกหนักที่สุดแก่ลูกหนี้เป็นอันได้เปลื้องไปก่อน เมื่อหนี้ค่าภาษีเป็นรายที่ตกหนักที่สุดแก่ลูกหนี้ เพราะมีภาระเงินเพิ่มตามกฎหมาย ดังนี้ หนี้ค่าภาษีย่อมได้รับการปลดเปลื้องไปก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 328 วรรคสอง ที่ศาลภาษีอากรกลางให้นำเงินไปหักชำระค่าภาษีก่อนเป็นการชอบแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นและไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองในข้ออื่นต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง”
พิพากษายืน

Share