แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ว่าคดีได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงโดยตั้งข้อหาว่า จำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ชั้นไต่สวนมูลฟ้องจำเลยรับในข้อหารับของโจร ศาลแขวงสั่งคดีมีมูล ประทับฟ้องฐานรับของโจร ส่วนข้อหาฐานลักทรัพย์ไม่ประทับฟ้อง โจทก์ก็ไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้านประการใด เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร โจทก์ก็แถลงไม่สืบพยาน ดังนี้คดีไม่มีทางลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ได้อีก โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีการับฟ้องฐานลักทรัพย์อีกด้วย ข้อฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 214, 15 และ ป.วิ.พ. มาตรา 242 (1) ต้องยกฎีกาโจทก์เสีย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษใส่จำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรและพรากเด็กอายุไม่เกิน ๑๓ ปี ไปเสียจากผู้ปกครอง ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง จำเลยรับในข้อหารับของโจรและฐานพรากเด็ก ศาลแขวงพระนครเหนือสั่งประทับฟ้องเฉพาะความผิด ๒ ฐานนี้แล้วส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ พนักงานอัยการเห็นว่า ความผิดฐานลักทรัพย์ ศาลแขวงมิได้พิพากษายกฟ้อง โจทก์จึงฟ้องต่อศาลอาญา ขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร และฐานพรากเด็กไปเสียจากผู้ปกครอง ศาลอาญารับฟ้องเฉพาะความผิดฐานรับของโจร และฐานพรากเด็ก
จำเลยรับสารภาพ โจทก์จำเลยไม่สืบพยาน
ศาลอาญาพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม. ๓๕๗ ให้จำคุก ๑ ปี กระทงหนึ่ง มาตรา ๓๑๗ ให้จำคุก ๑ ปี อีกกระทงหนึ่ง ลดฐานรับสารภาพกึ่งหนึ่ง คงลงโทษทั้งสองกระทง รวม ๑ ปี
โจทก์อุทธรณ์ ขอให้รับฟ้องฐานลักทรัพย์ด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอาญาประทับฟ้องเฉพาะความผิดฐานรับของโจร ฯลฯ ส่วนข้อหาฐานลักทรัพย์ไม่รับประทับฟ้อง โจทก์ก็มิได้โต้แย้งหรือคัดค้านประการใด เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร โจทก์ก็ไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้าน โจทก์กลับแถลงไม่สืบพยานดังนี้ คดีไม่มีทางที่จะลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ได้อีก ข้อฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดี อาศัยอำนาจตาม ป.วิ.อ. มาตรา๒๑๔, ๑๕ และ ป.วิ.พ. มาตรา ๒๔๒ (๑) พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์เสีย