แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อคดีได้ความว่าหนี้จำนองรายนี้เป็นเรื่องที่จำเลยรับเงินจากโจทก์ไปใช้ ในลักษณะยืมเงินแล้วทำสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันการชำระหนี้ ดังนั้น การที่จะนำสืบถึงการชำระหนี้จะต้องนำ ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรค 2 มาใช้บังคับ จำเลยคงมีแต่พยานบุคคลมาสืบว่าได้ชำระหนี้แล้ว ข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจำนองที่ดินยังไม่มีโฉนด ตำบลสามซุก จังหวัดสุพรรณบุรีไว้ต่อโจทก์ยอมคิดดอกเบี้ยให้โจทก์ร้อยละ ๑๕ต่อปี ต่อมาจำเลยที่ ๑ ลอบนำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดออกโฉนดที่ดินแปลงที่จำนองไว้กับโจทก์ลงชื่อจำเลยที่ ๑-๒-๓ ถือกรรมสิทธิตามโฉนดที่ ๔๙๓๕ โดยโจทก์ไม่รู้ แล้วจำเลยที่ ๑-๒ นำโฉนดที่ ๔๘๓๕ ไปจำนองไว้กับจำเลยที่ ๔ ทั้งนี้ โดยจำเลยที่ ๑-๒ และ ๔ สมยอมกันโดยไม่สุจริต เพื่อฉ้อกลโกงโจทก์ คงเหลือที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของจำเลยที่ ๓ อีกส่วนหนึ่ง ที่ดินเฉพาะส่วนนี้เดิมเป็นที่ดินของจำเลยที่ ๑ จำนองไว้กับโจทก์การจำนองรายนี้ยังมิได้ชำระต้นเงินและดอกเบี้ย จึงฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินโฉนดที่ ๔๙๓๕ ระหว่างจำเลยที่ ๑ – ๒ กับจำเลยที่ ๔ และถอนชื่อจำเลยที่ ๓ ออกจากโฉนดที่ ๔๘๓๕ บังคับจำนองในที่ดินส่วนนี้ โดยให้จำเลยร่วมกันชำระต้นเงินและดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน ๑๗,๕๐๐ บาท ฯลฯ
จำเลยที่ ๑ รับว่า ได้จำนองที่ดินตามสัญญาท้ายฟ้องจริง แต่โจทก์แนะให้จำเลยรังวัดออกโฉนดใหม่เพื่อนำไปจำนองให้แก่จำเลยที่ ๔ นำเงินมาชำระโจทก์ จำเลยที่ ๑ จึงจัดการตามโจทก์แนะ และได้นำเงินมาชำระหนี้จำนองแก่โจทก์แล้ว แต่ที่ไม่ได้ไปไถ่ถอนการจำนองจากโจทก์ ก็เนื่องจากโจทก์บอกว่าเมื่อที่ดินมีโฉนดแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปทำการไถ่ถอนให้เสียเวลา โฉนดไม่มีรายการจำนองกับโจทก์เป็นการหมดการจำนองไปเลย ฯลฯ
จำเลยที่ ๔ ต่อสู้ว่า รับจำนองไว้โดยสุจริต ฯลฯ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังพยานบุคคลของจำเลยในข้อที่ว่าได้ชำระหนี้จำนองแต่เห็นว่าพยานจำเลยไม่มีเหตุผล ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว และจำเลยที่ ๔ รับจำนองไว้โดยรู้ว่าที่ดินแปลงนี้จำนองอยู่แก่โจทก์อยู่ก่อนแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่ ๓ ออกจากโฉนดที่ ๔๙๓๕ และเพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดิน เฉพาะส่วนหลุดเป็นสิทธิตามโฉนดฉบับนี้ ระหว่างจำเลยทั้ง ๑ – ๒ กับจำเลย ที่ ๔ เสียให้จำเลยชำระหนี้จำนองและดอกเบี้ย ฯลฯ
จำเลยที่ ๑ แต่ผู้เดียวฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อนำสืบของจำเลยที่ ๑ ที่ว่าชำระหนี้จำนองแก่โจทก์นั้น ขัดต่อเหตุผลแก่อย่างไรก็ตาม หนี้จำนองรายนี้เป็นเรื่องที่จำเลยรับเงินจากโจทก์ไปใช้ในลักษณะยืมเงินแล้วทำสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันการชำระหนี้ การที่จะนำสืบถึงการชำระหนี้จะต้องนำ ป.พ.พ. มาตรา ๖๕๓ วรรค ๒ มาใช้บังคับ จำเลยคงมีแต่พยานบุคคลมาสืบว่าชำระหนี้แล้ว ข้อนำสืบของจำเลยจังรับฟังไม่ได้ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๔๒/๒๔๘๐ ระหว่างนางมี แก้วดี โจทก์ นายม่วง (นางคุ้มภรรยาผู้รับมรดกความ)เลย
พิพากษายืน