คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2295/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ค่าชดเชยเป็นหนี้ที่กฎหมายกำหนดให้นายจ้างจะต้องชำระให้แก่ลูกจ้างในวันเลิกจ้าง ดังนั้นการที่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างไม่ชำระค่าชดเชยให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างในวันเลิกจ้าง จำเลยจึงตกเป็นลูกหนี้ผู้ผิดนัด โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ในระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 224.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย ได้รับค่าจ้างวันละ78 บาท จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิด เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 29,250 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยให้การย่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควรหลายครั้ง เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ทั้งที่จำเลยได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้วตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(3) เป็นการจงใจขัดคำสั่งของจำเลยอันชอบด้วยกฎหมาย เป็นการเลิกจ้างที่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดจ่ายสินจ้างแทนการบอกกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์คือ
1. จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่
2. จำเลยจะต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่
ในปัญหาแรกนั้น ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์มิได้ป่วยถึงขั้นจะต้องรีบไปรักษา โจทก์ยื่นใบลาแล้วไม่มาทำงานในวันที่26 และ 27 เมษายน 2532 โดยยังมิได้รับอนุญาตให้ลาจากผู้บังคับบัญชาก่อน เห็นว่า กรณีของโจทก์จะต้องปรับด้วยเรื่องการลากิจ ซึ่งในเรื่องการลากิจนั้นระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ข้อ4.5.2 กำหนดว่า “วิธีการลา
1. พนักงานผู้ประสงค์จะขออนุญาตลากิจ ต้องยื่นใบลาตามแบบฟอร์มที่ฝ่ายบุคคลกำหนดและหลักฐานแสดงเหตุผลการลาโดยชัดแจ้งต่อหัวหน้าหน่วยงานล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน และเมื่อได้รับอนุมัติเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว จึงจะถือว่าใบลากิจนั้นถูกต้องสมบูรณ์” เมื่อใบลาของโจทก์ที่ยื่นไว้ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ลาตามระเบียบข้อบังคับของจำเลย การที่โจทก์ไม่มาทำงานดังกล่าว ต้องถือว่าโจทก์ขาดงานโดยมิได้รับอนุญาต อันเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหมวดที่ 8 ระเบียบวินัยและโทษทางวินัย ข้อ 8 ที่กำหนดว่า “พนักงานต้องมาทำงานอย่างสม่ำเสมอ ห้ามขาดงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ห้ามมาทำงานสายเป็นอาจิณ” ข้อเท็จจริงยุติอีกว่าโจทก์เคยถูกลงโทษพักงานโดยไม่จ่ายค่าจ้างเกี่ยวกับเรื่องที่โจทก์ขาดงานมาแล้ว การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ขาดงานครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุอันสมควรแก่การกระทำของโจทก์ ไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยปัญหานี้ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาประการที่สองเรื่องค่าชดเชย ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าหนังสือเตือนฉบันแรก ลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2531 เอกสารหมาย ล.2 ออกโดยไม่ชอบ ไม่มีผลบังคับนั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางมิได้หยิบยกเอาหนังสือเตือนฉบับแรกดังกล่าวมาเป็นเหตุอ้างว่าโจทก์กระทำผิดครั้งเกิดเหตุซ้ำคำตักเตือนนั้น คงหยิบยกเหตุเลิกจ้างว่าเป็นการกระทำผิดซ้ำคำตักเตือนตามหนังสือฉบับที่สอง เอกสารหมาย ล.3 เท่านั้นดังนั้น อุทธรณ์ดังกล่าวจึงไม่มีผลเป็นการคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลาง ศาลฎีกาจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนนี้ สำหรับหนังสือของจำเลยลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2532 เอกสารหมาย ล.3 นั้น ถึงแม้จะมีข้อความระบุไว้ตอนบนว่า “หนังสือตักเตือนและคำสั่งพักงานพนักงานกระทำผิด” ก็ตาม แต่ข้อความที่กำหนดไว้ในหนังสือดังกล่าวมีระบุว่า “ดังนั้นทางบริษัท ฯ จึงได้ลงโทษ…คือสั่งพักงานนายสถิตย์ จิตรสะอา โดยไม่จ่ายค่าจ้าง 3 วัน คือตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2532 แลภาคทัณฑ์ไว้เป็นหนังสือ” ซึ่งตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ได้กำหนดว่า “หมวด ก. การลงโทษทางวินัยเกี่ยวกับการทำงาน
1. ตักเตือนด้วยวาจา หรือ
2. ตักเตือนเป็นหนังสือ หรือ
3. ตัดค่าจ้างหรือพักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง 1-7 วัน และภาคทัณฑ์ไว้เป็นหนังสือ หรือ…”
เมื่อพิจารณาข้อความในเอกสารหมาย ล.3 ประกอบกับระเบียบข้อบังคับของจำเลยแล้วเป็นที่เห็นได้ชัดเจนว่า เอกสารหมาย ล.3 นั้นจำเลยลงโทษโจทก์ตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หมวด ก.ข้อ 3 ไม่มีความตอนใดในเอกสารดังกล่าวระบุไว้ให้ถือว่าเป็นคำตักเตือนด้วย จึงถือไม่ได้ว่าเอกสารหมาย ล.3 นั้นเป็นคำตักเตือนเป็นหนังสือ ส่วนหนังสือเตือนฉบับแรกลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2531เอกสารหมาย ล.2 แม้ปรากฏว่าที่โจทก์เคยขาดงานหลายครั้งดังระบุในหนังสือเตือนเอกสารหมาย ล.2 นั้น ศาลแรงงานกลางก็มิได้หยิบยกมาเป็นเหตุอ้างว่าโจทก์กระทำผิดครั้งเกิดเหตุซ้ำคำเตือนเอกสารหมาย ล.2ทั้งคำแก้อุทธรณ์ของจำเลย ก็มิได้ยกข้อนี้ขึ้นเป็นประเด็น และเอกสารหมาย ล.3 ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นคำตักเตือนเป็นหนังสือดังวินิจฉัยแล้วฉะนั้นการที่จำเลยกระทำผิดอย่างเดียวกับคราวก่อนโดยไม่มีประเด็นโต้เถียงกันว่าเป็นกรณีร้ายแรงหรือไม่ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(3) คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางส่วนที่ให้ยกฟ้องเกี่ยวกับค่าชดเชยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนนี้ฟังขึ้น ส่วนสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้น ในเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์ขาดงานโดยมิได้รับอนุญาตเป็นการผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน จึงเป็นเรื่องที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะละทิ้งการงานไปเสีย ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา583 จำเลยมีสิทธิที่จะเลิกจ้างโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามมาตรา 582 คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางในส่วนนี้ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ข้อเท็จจริงยุติวฝ่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 29 เมษายน2532 โจทก์เป็นลูกจ้างประจำทำงานติดต่อกันเกินสามปี ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 78 บาท โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยจากจำเลยไม่น้อยกว่า 180 วัน ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46(3) จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์เป็นเงิน 14,040บาท ค่าชดเชยเป็นหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ตามกฎหมายในวันเลิกจ้าง เมื่อจำเลยไม่ชำระตามกำหนดจึงตกเป็นผู้ผิดนัด โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ในระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224″
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์เป็นเงิน14,040 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 29 เมษายน 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.

Share