คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 170/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นพยานบอกเล่า แต่ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟัง ศาลนำคำให้การดังกล่าวมาประกอบพยานโจทก์ผู้จับกุมที่ยืนยันถึงการกระทำความผิดของจำเลยโดยชัดแจ้งเพื่อให้น้ำหนักพยานโจทก์มั่นคงโดยปราศจากข้อสงสัยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2544 เวลากลางวัน จำเลยนำเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 2,450 เม็ด น้ำหนัก 236.220 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 48.380 กรัม เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย และจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 65, 66, 67, 102 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 65 วรรคสอง, 66 วรรคหนึ่ง, 102 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) คงจำคุกตลอดชีวิต ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความไม่โต้แย้งฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยเดินทางจากราชอาณาจักรไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และเดินทางกลับเข้ามาในราชอาณาจักรในวันเดียวกันจึงถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมได้พร้อมเมทแอมเฟตามีน 2,450 เม็ด ในกระเป๋าผ้าของจำเลยที่ถือติดตัวมา มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาข้อแรกว่า ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมกลั่นแกล้งเพื่อหวังสินบนการนำจับตามกฎหมาย เห็นว่า ในการจับกุมจำเลยสืบเนื่องจากมีสายลับไปแจ้งพฤติการณ์ของจำเลยให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบ ร้อยตำรวจโทวีระ มงคลคลี สิบตำรวจเอกพินิจ จันขัน และร้อยตำรวจเอกนรินทร์ ปันยานะ ผู้ร่วมจับกุมยืนยันว่าเมื่อจำเลยเดินผ่านช่องตรวจคนเข้าเมือง เจ้าพนักงานตำรวจได้เข้าควบคุมตัวจำเลยและนำไปตรวจค้น พบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2,450 เม็ด ในกระเป๋าผ้าที่จำเลยถือมา ในชั้นจับกุมจำเลยให้การรับสารภาพ นอกจากนี้โจทก์มีร้อยตำรวจเอกณัฐพงษ์ ไชยชน พนักงานสอบสวนเบิกความสนับสนุนว่า ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ โดยในวันที่รับมอบตัวจำเลยได้ทำการสอบสวนจำเลย จำเลยรับว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้สอบถามข้อเท็จจริงจากจำเลย เมื่อจำเลยตอบคำถามแล้ว เจ้าพนักงานตำรวจก็พิมพ์ข้อความ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามบันทึกคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวน เอกสารหมาย จ.4 มีรายละเอียดในการกระทำความผิดเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลย ถ้าจำเลยไม่สมัครใจให้ถ้อยคำก็ยากที่เจ้าพนักงานตำรวจจะปรุงแต่งเรื่องขึ้นมาเอง นอกจากนี้ จำเลยยังเบิกความรับว่าก่อนถูกจับจำเลยเคยเดินทางไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวหลายครั้ง เพียงแต่อ้างว่าไปขายรถซึ่งเป็นการอ้างลอย ๆ ดังนั้น ที่สายลับไปแจ้งพฤติการณ์ของจำเลยต่อเจ้าพนักงานตำรวจจึงมีมูล เชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความตามความจริง พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องจริง มิใช่เป็นการกลั่นแกล้งจำเลยเพื่อหวังเงินสินบนนำจับตามที่จำเลยฎีกา ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยฎีกาประการต่อมาว่า คดีนี้โจทก์มิได้นำสายลับเข้าเบิกความทำให้พยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง เห็นว่า การที่จะนำสายลับเข้ามาเบิกความหรือไม่ เป็นดุลพินิจในการพิสูจน์ความผิดของเจ้าพนักงานตำรวจและโจทก์ เมื่อโจทก์เห็นว่าพยานโจทก์มั่นคงดีแล้ว โจทก์ก็มิจำเป็นต้องนำสายลับเข้าเบิกความแต่อย่างใด คดีนี้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นเหตุให้จำเลยต้องยอมจำนนต่อหลักฐาน และรับสารภาพทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน การที่โจทก์ไม่นำสายลับเข้าเบิกความไม่ทำให้น้ำหนักพยานโจทก์เสียไปแต่อย่างใด ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น สำหรับฎีกาของจำเลยประการต่อมาว่า พยานโจทก์ที่ร่วมจับกุมเบิกความต่างกันในข้อสาระสำคัญในส่วนที่เกี่ยวกับพฤติการณ์ก่อนการจับกุมโดยร้อยตำรวจโทวีระและสิบตำรวจเอกพินิจเบิกความว่า เมื่อจำเลยเดินผ่านช่องตรวจที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองเชียงของ ร้อยตำรวจเอกนรินทร์ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นจำเลย ร้อยตำรวจเอกนรินทร์ได้ส่งสัญญาณโดยกวักมือเรียกร้อยตำรวจโทวีระกับพวกให้เข้าไปจับจำเลย แต่ร้อยตำรวจเอกนรินทร์กลับเบิกความเหตุการณ์ตอนนี้ว่าเมื่อจำเลยเดินผ่านช่องตรวจที่พยานปฏิบัติหน้าที่อยู่ เมื่อทราบว่าเป็นจำเลยพยานได้ใช้โทรศัพท์แจ้งเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุม เห็นว่า แม้ร้อยตำรวจโทวีระและสิบตำรวจเอกพินิจจะเบิกความแตกต่างกับร้อยตำรวจเอกนรินทร์ในกรณีดังกล่าวก็ตาม แต่ความแตกต่างเป็นเพียงข้อปลีกย่อยแห่งคดีไม่ทำให้น้ำหนักพยานหลักฐานโจทก์เสียไป เพราะร้อยตำรวจโทวีระและสิบตำรวจเอกพินิจเบิกความตรงกันว่าร้อยตำรวจเอกนรินทร์ส่งสัญญาณด้วยการกวักมือเรียก ซึ่งสอดคล้องกับบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.2 พยานโจทก์จึงไม่มีข้อตำหนิในส่วนนี้แต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่าศาลรับฟังคำรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนมาลงโทษจำเลยได้หรือไม่ เห็นว่า แม้คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นเพียงพยานบอกเล่า แต่ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟัง ศาลนำคำให้การดังกล่าวมาประกอบพยานโจทก์ผู้จับกุมที่ยืนยันถึงการกระทำความผิดของจำเลยโดยชัดแจ้งเพื่อให้น้ำหนักพยานโจทก์มั่นคงโดยปราศจากข้อสงสัยได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาลงโทษจำเลยชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share