แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างรายวันของเทศบาลนครกรุงเทพ มีหน้าที่ขับรถยนต์ของเทศบาลฯ บรรทุกคนงานไปทำการล้างท่อและซ่อมท่อระบายน้ำ จำเลยที่ 2 เป็นคนล้างท่อและซ่อมท่อจำเลยมีหน้าที่เพียงดูแลรักษารถยนต์และน้ำมันเท่านั้น เทศบาลมิได้มอบการครอบครองรถยนต์และน้ำมันให้จำเลยครอบครองแต่อย่างใดฉะนั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ครอบครองรถยนต์และน้ำมันเบนซินในถังของรถยนต์นั้น เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ร่วมกันดูดเอาน้ำมันเบนซินไปจากถังรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ แล้วนำเอาน้ำมันนั้นไปขายให้จำเลยที่ 3 ดังนี้ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7)(11) จำเลยที่ 3 รับไว้โดยรู้ ก็ต้องมีความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2510)
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างรายวันของเทศบาลนครกรุงเทพ จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ขับรถยนต์ของเทศบาลนครกรุงเทพ บรรทุกคนงานล้างท่อระบายน้ำ จำเลยที่ 2 เป็นคนงานล้างท่อและซ่อมท่อระบายน้ำ เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2507 จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้บังอาจลักน้ำมันเบนซินจำนวน 2 กระป๋องราคา 11.50 บาท โดยใช้สายปลาสติกดูดลักเอาไปจากถังน้ำมันรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับ และตามวันเวลาดังกล่าว จำเลยที่ 3 ได้บังอาจรับเอาน้ำมันเบนซิน 2 กระป๋องนั้นโดยรู้อยู่ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7)(11), 83, 357 กับขอให้สั่งคืนของกลางแก่ผู้เสียหายและขอให้ริบท่อปลาสติกของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธตลอดข้อหา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างรายวันของเทศบาลนครกรุงเทพมีหน้าที่ขับรถยนต์บรรทุกรับส่งคนงานไปทำการล้างท่อเมื่อจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ขับรถยนต์ก็เห็นได้ในตัวว่าจำเลยมีหน้าที่ดูแลรักษารถยนต์ตลอดถึงน้ำมันรถยนต์ด้วย เพราะอยู่ในหน้าที่ความครอบครองของจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 1 บังอาจร่วมกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างรายวันเช่นเดียวกันดูดเอาน้ำมันรถยนต์ไปโดยทุจริตเช่นนี้ การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดฐานยักยอก หาใช่ความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ และการที่จำเลยที่ 3 รับซื้อไว้ก็หาใช่โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ดังที่โจทก์บรรยายฟ้องไม่ เพราะเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการยักยอกข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้อง พิพากษายกฟ้องคืนของกลางให้แก่ผู้เสียหาย ริบสายปลาสติกของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผิดฐานลักทรัพย์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามฟ้อง
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น และโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ขับรถยนต์ จำเลยที่ 1 ก็มีหน้าที่ต้องดูแลรักษารถยนต์ตลอดถึงน้ำมันเบนซินในรถยนต์ด้วยตามนัยฎีกาที่ 1092/2505 ก็จริงอยู่แต่จำเลยก็มีหน้าที่เพียงดูแลรักษาเท่านั้น เทศบาลนครกรุงเทพมิได้มอบการครอบครองรถยนต์และน้ำมันเบนซินในรถยนต์ให้จำเลยครอบครองแต่อย่างใด ฉะนั้นกรณีนี้จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ครอบครองรถยนต์และน้ำมันเบนซินในรถยนต์นั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ผิดฐานยักยอก ส่วนจำเลยที่ 3 ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยที่ 3 รู้ว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ลักเอาน้ำมันของเทศบาลนครกรุงเทพไปขายให้จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดฐานรับของโจร พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า นายสมควรจำเลยที่ 1 และนายชมจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) และ (11)ให้จำคุกคนละ 1 ปี จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ให้จำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์