แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยยื่นอุทธรณ์โดย ก. ทนายความลงลายมือชื่อเป็นผู้อุทธรณ์แทนจำเลยแต่ในสำนวนไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แต่งตั้ง ก. เป็นทนายจำเลยไว้ อุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบ ซึ่งกรณีเช่นนี้ศาลชั้นต้นชอบที่จะตรวจอุทธรณ์ของจำเลยโดยละเอียด และมีคำสั่งให้จำเลยแก้ไขข้อบกพร่องในการยื่นอุทธรณ์เสียให้ครบถ้วนและถูกต้องก่อนที่จะสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลย ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้ง ๆที่เป็นอุทธรณ์ไม่ชอบ จึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาอันเป็นเหตุให้จำเลยต้องเสียสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาในเนื้อหาแห่งอุทธรณ์ ศาลฎีกามีอำนาจสั่งให้แก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 208(2) ประกอบด้วยมาตรา 225 แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยได้แต่งตั้ง ก. เป็นทนายจำเลยโดยให้มีอำนาจอุทธรณ์และฎีกาแทนจำเลยได้พร้อมกับยื่นฎีกาเข้ามาแล้วจึงไม่จำต้องสั่งให้แก้ไขและต้องถือว่าจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยโดยไม่มีเหตุอันสมควรได้บุกรุกเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของนายสมดี สีปัดถา ผู้เสียหายโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีมีดดาบปลายแหลม 1 เล่มติดตัวไปด้วยเพื่อจะทำร้ายร่างกายบุคคลผู้มีชื่อในบ้านของผู้เสียหายหลังกระทำความผิดดังกล่าวจำเลยได้ทำให้เสียทรัพย์โดยใช้มีดดาบ 1 เล่ม ที่มีและพาไปดังกล่าวฟันทำลายหน้ากากรถและหน้าปัดเข็มไมล์ของรถจักรยานยนต์ 1 คันของผู้เสียหายที่จอดอยู่บริเวณบ้านดังกล่าวได้รับความเสียหาย ต่อมาเจ้าพนักงานยึดได้มีดดาบ 1 เล่มที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดดังกล่าวเป็นของกลาง อนึ่ง ก่อนคดีนี้จำเลยอายุเกินกว่าสิบเจ็ดปี เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุก1 ปี 8 เดือน ในความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2442/2541 และภายในระยะเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษในคดีดังกล่าวจำเลยได้กระทำความผิดในคดีนี้อีกซึ่งมิใช่ความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 358,364, 365 กับให้ริบมีดดาบ 1 เล่ม ของกลาง และเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษมาแล้วจริงตามฟ้อง
ระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ในข้อหาทำให้เสียทรัพย์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์สำหรับข้อหาทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365(1)(2)(3) ประกอบมาตรา 364 จำคุก 6 เดือน เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 รวมจำคุก 8 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่รับวินิจฉัยเป็นการชอบหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวเห็นว่า จำเลยยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยมีนายกำจัด ศรีปัดถา ทนายความลงลายมือชื่อเป็นผู้อุทธรณ์แทนจำเลย แต่ในสำนวนไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แต่งตั้งนายกำจัดเป็นทนายจำเลยไว้ อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ ในกรณีเช่นนี้ศาลชั้นต้นซึ่งมีหน้าที่ตรวจอุทธรณ์ว่าควรจะรับส่งขึ้นไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 4 หรือไม่ชอบที่จะตรวจอุทธรณ์ของจำเลยโดยละเอียด และอาจมีคำสั่งให้จำเลยแก้ไขข้อบกพร่องในการยื่นอุทธรณ์เสียให้ครบถ้วนและถูกต้องก่อนที่จะมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้ง ๆ ที่เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบเช่นนี้ย่อมถือได้ว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา อันเป็นเหตุให้จำเลยต้องเสียสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาในเนื้อหาแห่งอุทธรณ์จากศาลอุทธรณ์ภาค 4ศาลฎีกามีอำนาจสั่งให้แก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 208(2) ประกอบด้วยมาตรา 225 แต่ปรากฏว่าจำเลยได้แต่งตั้งนายกำจัดเป็นทนายจำเลยโดยให้มีอำนาจอุทธรณ์และฎีกาแทนจำเลยได้พร้อมกับยื่นฎีกาเข้ามาแล้วศาลฎีกาจึงไม่ต้องสั่งให้แก้ไขและต้องถือว่าจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยชอบแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่รับวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น แต่เนื่องจากจำเลยถูกจำคุกในระหว่างฎีกาใกล้จะครบกำหนดโทษและคดีได้มาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4พิจารณาพิพากษาใหม่ ที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำฟ้องและคำให้การรับสารภาพของจำเลยว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนในความผิด ซึ่งมิใช่การกระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 วรรคแรก ในอันที่จะรอการลงโทษแก่จำเลยได้ อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 และให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น