แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยกับผู้ตายมีความสัมพันธ์ฉันสามีภริยา ผู้ตายเป็นคนโมโหร้าย จำเลยจะกลับไปเยี่ยมมารดา แต่ผู้ตายไม่ให้ ไป และกล่าวหาจำเลยว่าจะไปมีชู้ ด่าว่าจำเลยพร้อมทั้งตบตี จำเลยใช้ปืนของผู้ตายยิงผู้ตายเพียงนัดเดียว เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุ อันไม่เป็นธรรม ทั้งยิงผู้ตายในขณะนั้น
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 จำคุก 15 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยกับผู้ตายมีความสัมพันธ์กันสามีภริยาอยู่บ้านเดียวและไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งรุนแรงมาก่อน วันเกิดเหตุผู้ตายกับจำเลยมีปากเสียงทะเลาะกัน แต่จะทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไรพยานโจทก์ไม่มีใครรู้เห็น คงมีแต่นายประยูรมานะยิ่ง ซึ่งกำลังรอใส่บาตรพระอยู่ริมถนนได้ยินเสียงว่าผู้ตายให้จำเลยไปหุงข้าว แต่จำเลยขอผลัดล้างหน้าก่อน และเกิดทะเลาะวิวาทกัน แต่จำเลยนำสืบว่า จำเลยจะกลับไปเยี่ยมมารดาที่อำเภอโนนสูง เนื่องน้องชายมาตามแต่ผู้ตายไม่ให้ไปและกล่าวหาว่าจำเลยมีชู้และด่าตบตีจำเลย ข้อเท็จจริงพิเคราะห์แล้วเห็นว่าลำพังแต่เรื่องที่ผู้ตายจะให้จำเลยรีบหุงข้าว แต่จำเลยขอผลัดล้างหน้าก่อนไม่น่าจะถึงกับมีเรื่องตบตีด่าทอกัน เมื่อคำนึงถึงว่าจำเลยเป็นหญิงสาวอายุเพียง 20 ปี ส่วนผู้ตายอายุ 52 ปี ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อตามที่จำเลยนำสืบว่าสาเหตุที่ทะเลาะกันคงเนื่องจากผู้ตายหึงหวงจำเลยและไม่ยอมให้จำเลยกลับบ้านไปเยี่ยมมารดามากกว่า เหตุการณ์ต่อจากนั้นนายประยูรพยานโจทก์เบิกความว่าเห็นจำเลยกับผู้ตายเข้าประตูห้องด้านในไป สักครู่ผู้ตายก็เดินออกมา จำเลยเดินตามหลังห่างผู้ตายประมาณ 1 เมตร ตะโกนถามผู้ตายว่าแกตีฉันทำไม พอผู้ตายเหลียวหลังก็ได้ยินเสียงปืนดังมาทางจำเลยหนึ่งนัดและผู้ตายล้มลง ข้อเท็จจริงนี้แม้โจทก์จะมีพยานรู้เห็นเพียงปากเดียวแต่คำเบิกความของนายประยูรก็สมเหตุผล เพราะร้อยตำรวจเอกสุทธิรักษ์ เหล็กกล้า พนักงานสอบสวนเบิกความว่า ในการชันสูตรพลิกศพผู้ตายที่บาดแผลและเสื้อผ้าของผู้ตายไม่มีเขม่าดินปืนจับอยู่ แสดงว่าผู้ตายถูกยิงห่างไม่น้อยกว่า 1 เมตร ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าผู้ตายใช้ปืนจ้องยิงจำเลย จำเลยแย่งปืนได้ ผู้ตายเดินเข้ามาจะแย่งปืนจำเลยถอยหลังสะดุดโต๊ะและปืนลั่นขึ้นนั้น ขัดกับถ้อยคำที่จำเลยให้การชั้นสอบสวนว่าเมื่อผู้ตายใช้ปืนจ้องมาทางจำเลย จำเลยตกใจกลัวจึงโผเข้าไปหาผู้ตายเพื่อแย่งปืน ขณะแย่งปืนกันอยู่นั้นอาุธปืนซึ่งอยู่ในมือซ้ายของผู้ตายลั่นขึ้น 1 นัด ข้อนำสืบของจำเลยในเรื่องนี้แตกต่างกันฟังไม่ได้ว่าเป็นจริงดังที่จำเลยให้การชั้นสอบสวนหรือชั้นศาล และทำให้ไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่าจำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อย่างไรก็ดีศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์และจำเลยฟังได้ว่าจำเลยและผู้ตายไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกันรุนแรงมาก่อน ผู้ตายเป็นคนโมโหร้าย เหตุที่จำเลยยิงผู้ตายก็เพราะจำเลยจะกลับไปเยี่ยมมารดา แต่ผู้ตายไม่ให้ไป และกล่าวหาจำเลยว่าจะไปมีชู้ และด่าว่าจำเลยว่าอีดอกทองพ่อแม่สั่งสอนไม่ดี พร้อมทั้งตบดีจำเลย จำเลยจึงบันดาลโทสะใช้ปืนของผู้ตายยิงผู้ตายเพียงนัดเดียว การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ทั้งจำเลยยิงผู้ตายในขณะนั้น เมื่อยิงแล้วจำเลยก็เสียใจในการกระทำของตนเอง จำเลยควรได้รับโทษน้อยลงกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนด”
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72 ให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 5 ปี