คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2279/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยเอาเครื่องรับโทรทัศน์สี 1 เครื่อง เครื่องเสียงสเตอริโอ 1 เครื่องของกลางของผู้เสียหายไปจากบ้านของผู้เสียหายเพราะ ส. ซึ่งเป็นสามีของผู้เสียหายเป็นหนี้จำเลย โดยจำเลยไม่ได้ทำให้ทรัพย์สินอย่างอื่นเสียหาย คงยกเอาทรัพย์ของกลางไปเท่านั้นโดยจำเลยบอกว่าถ้าอยากได้คืนให้ ส. เอาเงินไปไถ่ ซึ่งวันรุ่งขึ้นเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจไปที่บ้านของจำเลย ก็พบจำเลยและทรัพย์ของกลางดังกล่าว เชื่อว่าจำเลยเอาทรัพย์ของกลางไปเพื่อให้ ส. หรือผู้เสียหายไปติดต่อชำระหนี้ที่ค้างชำระต่อกันการกระทำของจำเลยจึงมิได้เป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริตหรือเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2541 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยโดยไม่มีเหตุอันสมควร เข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานของนางกมลทิพย์ผู้เสียหายโดยทุบประตูบ้าน ดึงกระชากประตูบ้านจนเปิดออก อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุข แล้วลักเครื่องรับโทรทัศน์สี 1 เครื่อง ราคา 13,970 บาท เครื่องเสียงสเตอริโอ 1 เครื่อง ราคา 4,000 บาท ของผู้เสียหายไปโดยผลักผู้เสียหายจนล้มลง เพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์ การพาทรัพย์นั้นไป ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยและยึดเครื่องรับโทรทัศน์สี 1 เครื่อง เครื่องเสียงสเตอริโอ 1 เครื่อง เป็นของกลางซึ่งผู้เสียหายรับคืนแล้ว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 339, 362, 364, 365,91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง, 365 (3) ประกอบมาตรา 364 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 339 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้องจำเลยเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายเพื่อทวงหนี้ค่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่จำเลยขายให้นายสำราญสามีของนางกมลทิพย์ผู้เสียหาย แล้วจำเลยเอาเครื่องรับโทรทัศน์สี 1 เครื่อง เครื่องเสียงสเตอริโอ 1 เครื่องของกลางของผู้เสียหายไป มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่าในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 23 นาฬิกา พยานได้ยินเสียงก้อนหินขว้างประตูบ้านเสียงเคาะประตูบ้าน แล้วจำเลยถีบประตูพังเข้ามา จำเลยกระชากแขนพยาน จำเลยพูดว่าไอ้ราญหน้าตัวเมียให้ชดใช้เงิน พยานบอกจำเลยว่านายสำราญไม่อยู่ จำเลยทวงค่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่นายสำราญซื้อไปจากจำเลย และยังค้างชำระค่าบริการ 1,100 บาท แต่ผู้เสียหายบอกว่าไม่มีเงิน จำเลยยกเครื่องรับโทรทัศน์สีและเครื่องเสียงสเตอริโอของกลาง ผู้เสียหายและบุตรของผู้เสียหายเข้าไปห้ามไม่ให้จำเลยเอาของกลางไป จำเลยปัดมือบุตรของผู้เสียหายและผลักผู้เสียหายจนผู้เสียหายล้มลง เห็นว่า หลังจากเกิดเหตุแล้ว ในวันรุ่งขึ้นร้อยตำรวจโทชนะชัยพนักงานสอบสวนไปตรวจที่เกิดเหตุ และถ่ายรูปประตูบ้านดังกล่าวไว้ตามภาพประกอบสำนวนการสอบสวน ซึ่งตามภาพถ่ายดังกล่าว ประตูบ้านของผู้เสียหายเปิดออกไปทางนอกบ้านและผู้เสียหายเบิกความว่าไม่สามารถดันประตูเข้าไปข้างในได้เพราะติดสันขอบวงกบประตู ปรากฏว่าประตูดังกล่าวยังคงอยู่ในสภาพปกติ ไม่พังดังผู้เสียหายเบิกความส่วนที่ผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยใช้มือกระชากประตูโดยจำเลยใช้เท้ายันที่ผนังปูน ทำให้กลอนประตูง้างออกนั้น ผู้เสียหายก็เบิกความว่า เป็นความเข้าใจของผู้เสียหายเท่านั้นประกอบกับได้ความว่าขณะเกิดเหตุผู้เสียหายอยู่ในบ้าน ส่วนจำเลยอยู่นอกบ้านมีประตูบ้านซึ่งเป็นประตูไม้ทึบปิดอยู่ ผู้เสียหายจึงมองไม่เห็นว่าจำเลยทำอะไรบ้าง นอกจากนี้จ่าสิบตำรวจประยุทธเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมจำเลยเป็นพยานโจทก์เบิกความว่าคืนเกิดเหตุผู้เสียหายไปแจ้งความว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหาย และยึดเอาเครื่องรับโทรทัศน์สีและเครื่องเสียงสเตอริโอของกลางไป ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายแจ้งข้อเท็จจริงเรื่องจำเลยพังประตูบ้านหรือกระชากประตูบ้าน และตามบันทึกการจับกุม ก็ไม่มีข้อเท็จจริงดังกล่าวเช่นกันส่วนที่ผู้เสียหายอ้างว่ากลอนประตูง้างออก ทำนองว่าจำเลยดึงจนประตูเปิดออกนั้น ตามสภาพประตูดังกล่าวข้างต้นเมื่อลงกลอนแล้ว ถ้าจะดึงจนประตูเปิดออกได้กลอนประตูน่าจะหลุดออกไปจากบานประตู หรือมีร่องรอยฉีกขาดที่วงกบประตูแต่ตามภาพถ่ายกลอนประตูยังคงติดอยู่ที่บานประตู และไม่ปรากฏร่องรอยฉีกขาดที่วงกบประตู พยานโจทก์จึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยดึงประตูจนเปิดออกหรือไม่ประกอบกับผู้เสียหายรู้จักจำเลยและจำเลยก็เคยไปทวงหนี้ค่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่จำเลยขายให้นายสำราญสามีของผู้เสียหายหลายครั้ง ผู้เสียหายก็ยอมรับว่าสามีของผู้เสียหายมีหนี้เกี่ยวกับโทรศัพท์เคลื่อนที่จริง เพียงแต่ผู้เสียหายเห็นว่าจำเลยยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่คืนไปจากนายสำราญแล้ว ผู้เสียหายไม่ต้องชำระหนี้ให้จำเลยอีก ข้อเท็จจริงมีน้ำหนักให้เชื่อว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยไปทวงหนี้จากนายสำราญสามีของผู้เสียหายที่บ้านของผู้เสียหาย และผู้เสียหายเปิดประตูบ้านให้จำเลยเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายดังจำเลยนำสืบ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก ที่ผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยปัดมือบุตรของผู้เสียหายและผลักผู้เสียหายจนผู้เสียหายล้มลงก่อนที่จะเอาทรัพย์ของกลางไปนั้น คงมีแต่ผู้เสียหายเบิกความเท่านั้น บุตรของผู้เสียหายไม่ได้มาเบิกความ ทั้งผู้เสียหายยังเบิกความด้วยว่าจำเลยไม่ได้ทำให้ทรัพย์สินอย่างอื่นเสียหาย คงยกเอาทรัพย์ของกลางไปเท่านั้นโดยจำเลยบอกว่าถ้าอยากได้คืนให้นายสำราญเอาเงินไปไถ่ ซึ่งวันรุ่งขึ้นเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจไปที่บ้านของจำเลย ก็พบจำเลยและทรัพย์ของกลางดังกล่าว และจ่าสิบตำรวจประยุทธเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมจำเลยเป็นพยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยนำของกลางไปจากบ้านของผู้เสียหายเพราะผู้เสียหายเป็นหนี้จำเลย เชื่อว่าจำเลยเอาทรัพย์ของกลางของผู้เสียหายไปเพื่อให้นายสำราญหรือผู้เสียหายไปติดต่อชำระหนี้ที่ค้างชำระต่อกัน การกระทำของจำเลยจึงมิได้เป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ด้วยที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share