คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2276/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยมีไม้สักแปรรูปซึ่ง เป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ไว้ในครอบครองมีจำนวนถึง 371 แผ่น รวมปริมาตรเนื้อไม้ 1.47 ลูกบาศก์เมตรถือ ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนให้มี ผู้ตัดไม้ทำลายป่า ซึ่ง เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธารและเป็นทรัพยากร ธรรมชาติอันมีค่าประมาณราคาไม่ได้ แม้จำเลยมีหนังสือรับรอง ความประพฤติและเอกสารใบอนุโมทนาบัตรในการบริจาคเงินเพื่อการกุศล ตลอดจนได้ รับแต่งตั้งเป็นกรรมการหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล กรรมการหมู่บ้านผู้ทรงคุณวุฒิและไวยาวัจกร ดังนี้ก็ไม่สมควร รอการลงโทษ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีไม้สักแปรรูปจำนวน 171 แผ่น รวมปริมาตรเนื้อไม้ 1.47 ลูกบาศก์เมตร ไว้ในความครอบครอง อันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 5, 7, 47, 48, 73, 74, 74 จัตวา พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518 มาตรา 7, 19, 28 พระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 116ลงวันที่ 10 เมษายน 2515 ข้อ 1 ประกาศกระทรวงเกษตร เรื่องกำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2499 ริบของกลางและจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้แจ้งความนำจับตามกฎหมายด้วย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 5, 7, 47, 48, 73 วรรคสอง, 74, 74 จัตวาพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518 มาตรา 7, 19, 28พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522 มาตรา 9 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2525 มาตรา 4 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 116 ลงวันที่ 10 เมษายน 2515 ข้อ 1 ประกาศกระทรวงเกษตรเรื่อง กำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2499 ให้จำคุก 1 ปี และปรับ 15,000บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งคงจำคุก 6 เดือน และปรับ 7,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปีหากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ของกลางริบจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้แจ้งความนำจับกึ่งหนึ่ง
โจทก์อุทธรณ์ขอไม่ให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษ ไม่ปรับและให้งดจ่ายเงินสินบนนำจับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยอ้างว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการทำลายทรัพยากรสำคัญนั้น เป็นการเกินกว่าการกระทำผิดที่แท้จริงของจำเลย เพราะจำเลยเพียงแต่รับซื้อไม้ไว้ไม่ได้จ้างผู้ใดทำลายป่าหรือมีส่วนรู้เห็นในการทำลายป่า เห็นว่าแม้จำเลยไม่ได้จ้างผู้ใดทำลายป่าและไม่มีส่วนรู้เห็นในการทำลายป่าแต่เมื่อจำเลยได้มีไม้สักแปรรูปซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ไว้ในความครอบครองมีจำนวนถึง 171 แผ่น รวมปริมาตรเนื้อไม้ 1.47ลูกบาศก์เมตร ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนให้มีผู้ตัดไม้ทำลายป่าซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธารและเป็นทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่าประมาณราคาไม่ได้ ปัจจุบันได้มีการตัดไม้ทำลายป่ากันมากทำให้แหล่งต้นน้ำลำธารเหลืออยู่น้อยจนเกิดภัยแล้วทั่วไป แม้จำเลยมีหนังสือรับรองความประพฤติและเอกสารใบอนุโมทนาบัตรในการบริจาคเงินเพื่อการกุศล ตลอดจนได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล กรรมการหมู่บ้านผู้ทรงคุณวุฒิและไวยาวัจกร จำเลยก็ต้องประพฤติตนเป็นเยี่ยงอย่างในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม จึงไม่สมควรรอการลงโทษจำเลย…”
พิพากษายืน.

Share