แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อศาลอ่านอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังครั้งแรกจำเลยที่2 ปฏิเสธในวันเดียวกันขอให้การใหม่เป็นรับสารภาพฐานรับของโจรตามฟ้อง ตามคำให้การที่ศาลจดไว้ที่จำเลยที่ 2 แถลงต่อศาลว่ากระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์เพราะจำเลยที่ 1นำเช็คมาให้และบอกว่าให้เอาไปขึ้นเงินเป็นค่าเช่าบ้านนั้น เพื่อขอให้บรรเทาโทษ ลงโทษโดยสถานเบา ไม่ใช่คำให้การว่ามิได้มีเจตนากระทำความผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กับพวกได้ร่วมกันพาอาวุธปืน ฯ กระทำการปล้นทรัพย์ หลายรายการ และจำเลยที่ 2 ได้รับเอาเช็คเงินสดไว้จากพวกของจำเลยที่ 1 โดยรู้แล้วว่าเช็คดังกล่าวเป็นทรัพย์ซึ่งจำเลยที่ 1 กับพวกได้มาจากการกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ จำเลยที่ 2 ซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสีย แล้วนำไปขึ้นเงินที่ธนาคารกรุงเทพฯ จำกัด เพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 340 ตรี, 357 ฯลฯ
เมื่อศาลอ่านอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้ว จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาอาวุธปืนและฐานปล้นทรัพย์ และปฏิเสธในความผิดฐานมีวัตถุระเบิดไว้ในความครอบครอง จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทุกข้อหา
ในวันนั้นเองจำเลยที่ 2 ขอให้การใหม่รับสารภาพฐานรับของโจรตามฟ้อง ศาลชั้นต้นสั่งให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 โจทก์จำเลยไม่สืบพยานเฉพาะจำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 จำคุก 3 ปี รับสารภาพลดกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ความผิดฐานรับของโจรจะผิดต่อเมื่อผู้รับเอาทรัพย์รู้ว่าเป็นของที่ได้มาจากการกระทำความผิด จำเลยที่ 2 แถลงต่อศาลชั้นต้นว่าทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แสดงว่ามิได้มีเจตนากระทำความผิด เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน จึงลงโทษจำเลยที่ 2 ไม่ได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อศาลอ่านอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังครั้งแรกจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ ในวันเดียวกันขอให้การใหม่รับสารภาพฐานรับของโจรตามฟ้องตามคำให้การที่ศาลจดไว้ ที่จำเลยแถลงต่อศาลว่ากระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะจำเลยที่ 1 นำเช็คมาให้ และบอกว่าให้เอาไปขึ้นเงินเป็นค่าเช่าบ้านนั้น เพื่อขอให้บรรเทาโทษไม่ใช่ให้การว่ามิได้มีเจตนากระทำความผิด
พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีสมควรรอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด 5 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56