แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มอบสมุดเช็คไว้กับ ค. ซึ่งเป็นสมุห์บัญชีของโจทก์ และให้ ค.เป็นผู้กรอกข้อความลงในเช็คก่อนที่จะนำมาให้ส.ผู้จัดการโจทก์เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย การที่ ค. ปลอมลายมือชื่อ ส. ผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท กับทั้งเมื่อจำเลยส่งการ์ดบัญชีมาให้โจทก์ โจทก์มิได้ตรวจสอบดูรายการถอนเงินว่าถูกต้องหรือไม่ จึงเป็นความประมาทของโจทก์ที่ทำให้ ค. ปลอมลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายได้ โจทก์จึงเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกลายมือชื่อปลอมขึ้นเป็นข้อต่อสู้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1008 วรรคแรก.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับจำเลยจำเลยตกลงให้โจทก์มีสิทธิกู้ยืมเงินโดยวิธีเบิกเงินเกินบัญชีได้ภายในวงเงินไม่เกิน 200,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปีต่อมามีบุคคลผู้มีชื่อได้ปลอมลายมือชื่อนายสุทธิชัย ศรีเฟื่องฟุ้งกรรมการโจทก์ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิสั่งจ่ายเช็ค และเบิกเงินออกจากบัญชีของโจทก์ จำเลยได้จ่ายเงินตามเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนสาธร รวม 8 ฉบับ ซึ่งลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คดังกล่าวเป็นลายมือชื่อปลอมรวมเป็นเงิน 265,700 บาท โจทก์ได้ทักท้วงแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน265,700 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยจ่ายเงินตามเช็คทั้ง 8 ฉบับดังกล่าวถึงวันฟ้องเป็นเงิน 4,149.29 บาท รวมเป็นเงิน269,849.29 บาท ขอให้จำเลยเพิกถอนรายการที่โจทก์เป็นลูกหนี้ของจำเลยออกจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ และสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีตามบัญชีเงินฝากดังกล่าวเป็นเงิน 265,700 บาทพร้อมดอกเบี้ย 4,149.29 บาท หากจำเลยไม่ยอมเพิกถอนขอให้จำเลยชดใช้เงินให้แก่โจทก์จำนวน 265,700 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยจ่ายเงินตามเช็คทั้ง 8 ฉบับจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า ในการเปิดบัญชีดังกล่าว โจทก์ให้ตัวอย่างลายมือชื่อนายสุทธิชัย ศรีเฟื่องฟุ้ง และนายภาคภูมิ จิรารัตน์พร้อมทั้งตัวอย่างดวงตราประทับ เพื่อใช้ในการตรวจสอบ โจทก์จำเลยตกลงกู้และให้กู้เบิกเงินเกินจากบัญชีภายในวงเงินไม่เกิน 200,000บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 17.5 ต่อปี ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คทั้ง 8 ฉบับตามฟ้องเป็นไปตามตัวอย่างที่มอบให้ไว้แก่สาขาถนนสาธรของจำเลย ซึ่งใช้เงินตามเช็คทั้ง 8 ฉบับ ไปโดยสุจริต และปราศจากความประมาทเลินเล่อ แม้ลายมือชื่อ “สุทธิชัย ศรีเฟื่องฟุ้ง”ผู้สั่งจ่ายจะเพี้ยนไปบ้างจากลายมือชื่อที่ให้ไว้เป็นตัวอย่างก็ไม่มีเหตุชวนสงสัยว่า ไม่ใช่ลายมือชื่ออันแท้จริงของโจทก์โจทก์ละเลยและประมาทเลินเล่อ ไม่เก็บรักษาสมุดเช็คไว้ในที่มั่นคงปลอดภัย ทำให้บุคคลอื่นได้ตัวเช็คที่ยังไม่กรอกข้อความไปเขียนและปลอมลายมือชื่อของผู้สั่งจ่าย โจทก์จึงเป็นผู้ผิดสัญญาตามเงื่อนไขในการตกลงรับเปิดบัญชีกระแสรายวัน จำเลยไม่ต้องรับผิดขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยเพิกถอนรายการที่อ้างว่าโจทก์เป็นลูกหนี้ของจำเลยตามเช็คพิพาททั้ง 8 ฉบับรวมเป็นเงินจำนวน 265,700 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีนับแต่วันที่จำเลยได้จ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวแต่ละฉบับไป ออกจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาททั้ง 8 ฉบับ เป็นลายมือปลอม นายสุทธิชัย พยานโจทก์เบิกความว่าผู้ที่ปลอมลายมือชื่อในเช็คทั้ง 8 ฉบับนี้ได้แก่นายคมสิน ซึ่งเป็นสมุห์บัญชีของโจทก์โดยพยานเบิกความอีกว่า พยานไว้วางใจนายคมสินได้มอบสมุดเช็คให้เก็บรักษา และตามปกติก็ให้นายคมสินเป็นผู้กรอกรายการต่าง ๆ ในเช็คที่พยานเป็นผู้สั่งจ่ายให้เสมอนอกจากนี้นายสันพงษ์ บำเพ็ญสันติ พยานโจทก์ซึ่งทำงานอยู่ในบริษัทเคมีธุรกิจ จำกัด ว่า สำหรับบริษัทดังกล่าวนายสุทธิชัยศรีเฟื่องฟุ้ง ได้มอบสมุดเช็คไว้กับสมุห์บัญชี และการสั่งจ่ายเช็คสมุห์บัญชีจะเป็นผู้กรอกจำนวนเงินและวันที่แล้วนำไปให้นายสุทธิชัยลงลายมือชื่อในฐานะผู้สั่งจ่าย บริษัทเคมีธุรกิจจำกัดนี้ได้ความจากนายรณชิต จินะดิษฐ์ ผู้จัดการธนาคารจำเลย สาขาถนนสาธร พยานจำเลยว่าเป็นบริษัทในเครือของโจทก์ และมีนายสุทธิชัยศรีเฟื่องฟุ้ง เป็นผู้จัดการเช่นเดียวกัน เช่นนี้คดีจึงเชื่อได้ว่านายสุทธิชัยได้มอบสมุดเช็คไว้กับนายคมสินสมุห์บัญชีของโจทก์และให้นายคมสินเป็นผู้กรอกข้อความในเช็คมาให้นายสุทธิชัยเป็นผู้ลงนาม และเชื่อว่านายคมสินถือโอกาสปลอมลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาททั้ง 8 ฉบับ นอกจากนี้นายสุทธิชัยเบิกความตอบทนายจำเลยว่าการจ่ายเงินจากบัญชีของโจทก์ปรากฏตามการ์ดบัญชีเอกสารหมาย ล.3 นั้น จำเลยได้จัดส่งสำเนาคู่ฉบับให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือน โดยนายประเสริฐ รวมราช สมุห์บัญชีของจำเลยเบิกความเป็นพยานจำเลยว่า คู่ฉบับเอกสารหมาย ล.3 ได้ส่งแก่โจทก์ทุก ๆสิ้นเดือน ซึ่งเช็คปลอมฉบับแรกมีขึ้นในวันที่ 26 ตุลาคม 2526 หากโจทก์ใช้ความระมัดระวังเพียงแต่ตรวจดูเอกสารดังกล่าวบ้าง โจทก์ย่อมจะทราบว่ามีการปลอมเช็คไปถอนเงินเพราะพยานโจทก์เบิกความว่าโดยปกติโจทก์จะไม่สั่งจ่ายเช็คเงินสดจำนวนมากเช่นที่ปรากฏในเช็คที่ปลอมนี้ จึงเป็นความประมาทของโจทก์ที่ทำให้นายคมสินปลอมลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาททั้ง 8 ฉบับได้ กรณีเช่นนี้ฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมขึ้นเป็นข้อต่อสู้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1008 วรรคแรกตอนท้าย จำเลยจึงมีสิทธินำจำนวนเงินที่จ่ายไปตามเช็คมาลงบัญชีของโจทก์ว่าโจทก์เป็นลูกหนี้จำเลยได้
พิพากษายืน.