คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2272/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 ขับรถแล่นไปในขบวนด้วยความเร็วตามปกติและในช่องทางเดินรถที่ถูกต้อง ส่วนจำเลยที่ 2 ขับรถขึ้นจากไหล่ถนนโดยกระชั้นชิดและด้วยความเร็วสูงโดยไม่ระมัดระวังเช่นนี้ จำเลยที่ 1 ย่อมไม่อาจคาดหมายหรือให้สัญญาณเพื่อให้ใช้ความระมัดระวังอย่างใดได้ทัน เหตุชนกันจึงมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่ถือว่าเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 2แต่เพียงฝ่ายเดียว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 76, 78, 127, 148,152, 157, 160 โดยขอให้เรียงกระทงลงดทษจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ต่อมาจำเลยที่ 2 ขอถอนคำให้การเดิมและให้การรับสารภาพในระหว่างการพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157ให้ลงโทษบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา ลงโทษจำเลยทั้งสองคนละ 20 วัน(ที่ถูกเป็นลงดทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 20 วัน) และปรับคนละ 800บาท จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานไม่หยุดช่วยเหลือและแจ้งเหตุอีกกระทงหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 78, 160 จำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 1 เดือน และปรับ 1,000 บาท จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานไม่หยุดรถชิดขอบทางตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 26, 148อีกกระทงหนึ่งให้ปรับ 400 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 1 กำหนด 1 เดือน20 วัน และปรับ 1,200 บาท จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 กำหนด 10 วัน และปรับ 600 บาท จำเลยทั้งสองไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ให้รอการลงโทษไว้คนละ 1 ปี ค่าปรับไม่ชำระให้กักขังแทน ข้อหาตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 127, 152 สำหรับจำเลยที่ 1 นั้นให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78, 160 วรรคหนึ่งส่วนข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157 ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกามีว่า จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2และนายแพทย์วัฒนา พิพัฒน์พันธ์ บาดเจ็บและรถยนต์ที่จำเลยที่ 2ขับเสียหายหรือไม่ โจทก์มีนางสมศรี ปั้นทอง ครูโรงเรียนฤทธิณรงค์รอนซึ่งนั่งไปในรถคันที่จำเลยที่ 1 ขับ เบิกความได้ความว่า รถที่จำเลยที่ 1 ขับแล่นตามกันไปในขบวนซึ่งมีรถวิทยุตำรวจทางหลวงเปิดสัญญาณไฟวับวาบแล่นนำหน้า ตอนชนกันรถที่จำเลยที่ 2 ขับแล่นอยู่ทางซ้ายมือของรถที่จำเลยที่ 1 ขับ ซึ่งเกี่ยวกับรถที่จำเลยที่ 2ขับนี้ จำเลยที่ 1 เบิกความได้ความว่า ขณะจะเกิดเหตุรถยนต์ที่จำเลยที่ 2 ขับแล่นตามหลังรถยนต์โดยสารที่จำเลยที่ 1 ขับมาประมาณ10 นาทีเศษ แล้วขับแซงรถที่จำเลยที่ 1 ขับ ซึ่งเป็นคันที่ 6ในขบวน ขึ้นไปจนพ้นรถคันที่ 4 จากนั้นรถที่จำเลยที่ 2 ขับได้หลบลงไปแล่นที่ไหล่ทางด้านซ้าน ซึ่งทำด้วยลูกรัง รถคันที่ 4 ที่ 5 และรถที่จำเลยที่ 1 ขับซึ่งเป็นรถคันที่ 6 จึงได้แล่นแซงขึ้นหน้า ขณะนั้นรถที่จำเลยที่ 1 ขับอยู่ในทางเดินรถด้านซ้าย ศาลฎีกาเห็นว่ารถยนต์โดยสารจำเลยที่ 1 เป็นรถที่ขับแล่นตามกันไปในขบวนซึ่งมีรถวิทยุตำรวจทางหลวงเปิดไฟสัญญาณวับวาบแล่นนำหน้า เชื่อว่า รถที่จำเลยที่ 1 ขับนั้นแล่นด้วยความเร็วตามอัตราที่กฎหมายกำหนด และอยู่ในช่องทางเดินรถที่ถูกต้อง ศาลฎีกาตรวจดูแผนที่เกิดเหตุเอกสารหมาย ป.จ.3 และ จ.6 ที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 นำชี้ตามลำดับแล้ว ปรากฏสารสำคัญที่ตรงกันประการหนึ่งคือ รอยเบรกของรถยนต์ที่จำเลยที่ 2 ขับ ยาว 24 เมตรเศษ จนตกไปที่ไหล่ถนนอีกฟากหนึ่งแสดงว่าจำเลยที่ 2 ขับรถด้วยความเร็วสูง นอกจากนี้ตัวจำเลยที่ 2 เองยังเบิกความเจือสมกับพยานโจทก์ตอนหนึ่งว่า จำเลยที่ 2ขับรถขึ้นไปบนถนนกระชั้นชินมาก จำเลยที่ 2 ไม่ทันสังเกต แสดงว่าจำเลยที่ 2 ขับรถโดยปราศจากความระมัดระวัง การที่จำเลยที่ 1ขับรถแล่นไปในขบวนด้วยความเร็วตามปกติและในช่องทางเดินรถที่ถูกต้อง ส่วนจำเลยที่ 2 ขับรถขึ้นจากไหล่ถนนโดยกระชั้นชิดและด้วยความเร็วสูงโดยไม่ระมัดระวัง เช่นนี้ จำเลยที่ 1 ย่อมไม่อาจคาดหมายหรือให้สัญญาณเพื่อให้ใช้ความระมัดระวังอย่างใดได้ทัน เหตุชนกันจึงมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่ถือว่าเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 2 แต่เพียงฝ่ายเดียวศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share