คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2267/2527

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

บ้านเกิดเหตุเป็นสถานค้าประเวณี มีหญิงโสเภณีและชายที่ไป เที่ยว จำเลยทำหน้าที่คอยเปิดปิดประตูรับอยู่ที่บ้านดังกล่าว ดังนี้ จำเลยเป็นผู้ดูแลจัดการสถานค้าประเวณีตามพระราชบัญญัติ ปรามการค้าประเวณีฯ มาตรา 9 ที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 286 นั้นโจทก์จะต้องนำสืบให้รับฟังได้ว่าจำเลยดำรงชีพอยู่แม้เพียงบางส่วนจากรายได้ของหญิงซึ่งค้าประเวณี หรือไม่มีปัจจัยอย่างอื่นอันปรากฏสำหรับดำรงชีพ หรือไม่มีปัจจัยอันเพียงพอสำหรับดำรงชีพ เมื่อพยานโจทก์ไม่ได้เบิกความถึงข้อนี้เลย แต่ได้ความว่าจำเลยเช่าร้านติดกับที่เกิดเหตุขายก๋วยเตี๋ยวและเครื่องดื่มมา 2 ปีแล้ว จึงลงโทษจำเลยตาม มาตรา 286 ไม่ได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 9 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 286ลงโทษตามมาตรา 286 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 3 ปี ฟ้องโจทก์นอกจากนี้ให้ยกศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณีฯ มาตรา 9 จำคุก 1 ปี ข้อห้าอื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “โจทก์นำสืบว่าร้อยตำรวจเอกสุรชัยตันติสุวิชวงศ์ สืบทราบว่าที่บ้านเลขที่ 927/89 ตำบลมหาชัย อำเภอเมืองสมุทรปรากการ จังหวัดสมุทรสาคร สถานค้าประเวณีซึ่งเลิกกิจการไปแล้วทำการลักลอบค้าประเวณีอีก จึงสั่งให้ตำรวจไปสืบสวนได้ความจริงว่าจำเลยเป็นผู้ดูแล และคอยเปิดปิดประตูบ้านรับแขกเอง ในคืนวันที่ 21 มีนาคม 2525 เวลาประมาณ 03.30 นาฬิกา จึงได้นำกำลังตำรวจเข้าจับกุม พบจำเลยไขกุญแจให้เจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นมีผู้หญิงที่คอยทำการค้าประเวณี 4 คน และมีผู้ชายเที่ยวอีกหลายคน จึงจับผู้หญิงทั้งสี่และจำเลยมาดำเนินคดี

จำเลยนำสืบว่า บ้านเกิดเหตุเป็นของนางเจรียน พูลมา ให้นางสมจิตต์ ทองดี เช่า ทำเป็นสถานค้าประเวณี ต่อมาปิดกิจการไป หน้าบ้านที่ร้านค้าจำเลยเช่าจากนางเจรียน พูลมา มาขายก๋วยเตี๋ยว วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 03.00 นาฬิกา ขณะจำเลยผัดก๋วยเตี๋ยวอยู่ในร้าน มีตำรวจประมาณ 10 คนมางัดประตูบ้านเกิดเหตุ และนำจำเลยออกจากร้านเข้าไปในบ้านด้วย จับหญิงโสเภณี 4 คนกับจำเลยไปสถานีตำรวจ แจ้งข้อหาดำเนินคดีนี้ จำเลยมีอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวมีรายได้เดือนละ 4,000 บาท

พิเคราะห์แล้ว ที่คู่ความนำสืบฟังได้ว่า บ้านเกิดเหตุเป็นสถานค้าประเวณีเพราะเมื่อตำรวจไปจับหญิงโสเภณี และผู้ชายที่มาเที่ยวในบ้านหลายคน จับจำเลยและหญิงโสเภณี 4 คนไปดำเนินคดี ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อแรกมีว่าจำเลยเป็นผู้ดูแลจัดการสถานค้าประเวณี และจัดหาผู้ทำการค้าประเวณี ตามที่โจทก์ฟ้องจริงหรือไม่ โจทก์มีพลตำรวจเจน คำหรุ่น เบิกความว่า เมื่อได้รับคำสั่งจากร้อยตำรวจเอกสุรชัย ตันติสวิชวงศ์ แล้วได้ไปซุ่มดูที่บ้านเกิดเหตุเห็นมีผู้ชายเข้าออกในบ้านหลังนั้นตลอดเวลา มีจำเลยคอยทำหน้าที่เปิดปิดประตูให้ จึงมารายงานให้ร้อยตำรวจเอกสุรชัย ตันติสุวิชวงศ์ ทราบแล้วยกกำลังตำรวจไปจับกุมในคืนนั้นเอง ร้อยตำรวจเอกสุรชัย ตันติสวิชวงศ์พยานโจทก์เบิกความว่าหลังจากใช้ให้พลตำรวจเจนไปซุ่มดูเหตุการณ์ที่บ้านเกิดเหตุแล้วกลับมารายงานว่ามีผู้ชายหลายคนเข้าออก ที่บ้านเกิดเหตุ และมีชายคนหนึ่งคอยเปิดปิดประตูให้จึงนำกำลังจับกุม สั่งให้จำเลยเปิดประตูนำตำรวจเข้าไปในบ้านเกิดเหตุพยานทั้งสองปากของโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกัน และไม่มีพฤติการณ์ว่าจะกลั่นแกล้งจำเลยแต่อย่างใด เมื่อบันทึกการจับกุม จำเลยก็ยอมรับสารภาพปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 ในบ้านเกิดเหตุนอกจากหญิงโสเภณีผู้ชายที่ไปเที่ยวแล้ว คงมีจำเลยเพียงคนเดียวที่อยู่ทำหน้าที่คอยเปิดปิดประตูรับอยู่ที่บ้านหลังนั้น พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ดูแลจัดสถานค้าประเวณีตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 4 แล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ส่วนข้อหาที่ว่า จำเลยดำรงชีพจากรายได้ของหญิงซึ่งค้าประเวณีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 286 นั้น โจทก์จะต้องนำสืบให้รับฟังได้ว่า จำเลยดำรงชีพอยู่แม้เพียงบางส่วนจากรายได้ของหญิงซึ่งค้าประเวณีหรือไม่มีปัจจัยอย่างอื่นอันปรากฏสำหรับดำรงชีพ หรือไม่มีปัจจัยอันพอเพียงสำหรับดำรงชีพ แต่ไม่มีพยานโจทก์ปากใดเบิกความถึงข้อนี้เลยว่าจำเลยมีรายได้จากหญิงซึ่งค้าประเวณีจริงหรือไม่ จำเลยไม่มีปัจจัยอย่างอื่นในการดำรงชีพจริงหรือไม่ ตามที่จำเลยนำสืบได้ความว่า จำเลยเช่าร้านของนางเจรียน พูลมา ซึ่งอยู่ติดกับที่เกิดเหตุ ขายก๋วยเตี๋ยวและเครื่องดื่มเป็นอาชีพมีรายได้เดือนละ 4,000 บาท ทำมาประมาณ 2 ปีแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์เฉพาะข้อหานี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share