คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2261/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ร่วมตกลงจะให้จำเลยกู้เงินตามที่ ภ. แนะนำมา แต่จำเลยไม่มีชื่อในโฉนดที่ดิน โจทก์ร่วมจึงให้ชายที่อ้างเป็น ถ. ทำสัญญากู้เงินแทนและยึดโฉนดที่ดินของ ถ. ไว้เป็นประกัน หากจำเลยไม่มีหลักทรัพย์มาวางเป็นประกันการชำระหนี้แล้วโจทก์ร่วมคงจะไม่ให้จำเลยกู้เงินแน่ การที่จำเลยร่วมกับชายที่อ้างเป็น ถ. นำโฉนดที่ดินของปลอมมาหลอกลวงโจทก์ร่วม ทำให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อจ่ายเงินให้แก่จำเลยและชายคนดังกล่าวไป หลังจากนั้นโจทก์ร่วมติดต่อให้จำเลยชำระดอกเบี้ยและโจทก์ร่วมให้จำเลยไปพบที่ทำงานกับแจ้งให้ทราบว่า ถ. นำโฉนดที่ดินปลอมมาวางเป็นหลักประกัน ประมาณต้นเดือนเมษายน 2540 จำเลยทำสัญญากู้เงินจำนวน 500,000 บาท ไว้ให้แก่โจทก์ร่วม ตามสัญญากู้เงินกับสั่งจ่ายเช็คธนาคาร ส. จำกัด (มหาชน) จำนวน 500,000 บาท ประมาณปลายเดือนเมษายน 2540 จำเลยนำเช็คธนาคาร ก. จำกัด (มหาชน) สาขาสีลม จำนวนเงิน 50,000 บาท มาชำระค่าดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ร่วม เมื่อโจทก์ร่วมนำไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คและใบคืนเช็ค แม้โจทก์ร่วมจะเบิกความตอบทนายจำเลยขออนุญาตศาลถามว่า โจทก์ร่วมมอบเงินให้แก่ชายที่อ้างเป็น ถ. ไปแต่จำเลยเป็นผู้นับเงินซึ่งเจือสมกับที่จำเลยนำสืบว่าที่อ้างเป็น ถ. เป็นผู้ตรวจนับเงิน จำเลยตรวจนับ 1 ปึก จำนวน 100,000 บาท จึงมิได้เป็นพิรุธว่าพยานโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความไม่อยู่แก่ร่องแก่รอยแต่อย่างใด การที่จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกู้เงินและเข้าร่วมลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้เงินเป็นการผิดวิสัยของการเป็นนายหน้าหาเงินกู้ นอกจากนี้จำเลยยังทำสัญญากู้เงินและสั่งจ่ายเช็คตามจำนวนกู้เงินไปให้แก่โจทก์ร่วมรวมทั้งจ่ายเช็คชำระหนี้ค่าดอกเบี้ยไว้อีก แสดงให้เห็นว่าจำเลยร่วมกับพวกแบ่งหน้าที่กันทำโดยนำโฉนดที่ดินปลอมไปวางเป็นหลักประกันเงินกู้ อันเป็นการหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงอันควรบอกให้แจ้ง ทำให้จำเลยกับพวกได้เงินไปจากโจทก์ร่วม พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมฟังได้ว่า จำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมและฉ้อโกง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 266 (1), 268, 341, 342 (1), 83, 91 ให้จำเลยใช้เงิน 500,000 บาท แก่ผู้เสียหาย และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณา พันเอกแสงสิทธิ์ สิทธิรณฤทธิ์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1), 341 (ที่ถูกมาตรา 342 (1)), 83 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 266 (1) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 ปี ให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายจำนวน 485,000 บาท ริบโฉนดที่ดินปลอมของกลาง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2540 เวลากลางวัน จำเลยพาชายคนหนึ่งที่อ้างว่าชื่อนายถาวร กาญจนภรณ์ ไปพบโจทก์ร่วม ณ ที่ทำงานของโจทก์ร่วม ในกระทรวงกลาโหม แล้วชายดังกล่าวทำสัญญากู้เงินโจทก์ร่วม 500,000 บาท และมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 61959 เลขที่ดิน 558 หน้าสำรวจ 3920 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด (ตลาดขวัญ) จังหวัดนนทบุรี เนื้อที่ 1 งาน 82 ตารางวา มีชื่อนายถาวร กาญจนาภรณ์ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ร่วมยึดถือไว้เป็นหลักประกันตามหนังสือสัญญากู้เงินและโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 โจทก์ร่วมมอบเงินตามหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวให้โดยหักดอกเบี้ยเดือนแรกไว้ ต่อมาวันที่ 17 มีนาคม 2540 โจทก์ร่วมนำโฉนดที่ดินดังกล่าวไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี สาขาปากเกร็ด จึงทราบว่าโฉนดที่ดินดังกล่าวเป็นโฉนดที่ดินปลอม โจทก์ร่วมจึงไปร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยกับพวก ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยร่วมกระทำความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมและฉ้อโกงหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีตัวโจทก์ร่วมเป็นพยานเบิกความว่า นางภัครณีเพื่อนบ้านได้ติดต่อว่ามีคนเดือดร้อนเรื่องเงินจะมากู้เงินโดยมีหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดิน ต่อมาวันที่ 24 มกราคม 2540 จำเลยนี้กับพวกไปพบโจทก์ร่วมที่สำนักงานของโจทก์ร่วม โดยอ้างว่าได้ติดต่อมาล่วงหน้าแล้วจำเลยนำโฉนดที่ดินมาให้ดู ปรากฏว่าโฉนดที่ดินมีชื่อนายถาวรเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และเป็นน้องชายจำเลยที่มากับจำเลยด้วย โจทก์ร่วมจึงให้ชายคนที่มากับจำเลยเป็นผู้กู้เงินจำนวน 500,000 บาท และทำสัญญากู้เงินไว้ตามหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 โดยระบุว่าผู้กู้ได้มอบโฉนดที่ดินให้ผู้ให้กู้ไว้เป็นประกันและจำเลยลงลายมือชื่อไว้ในสัญญากู้เงินในฐานะพยาน โจทก์ร่วมมอบเงินจำนวน 485,000 บาท ให้แก่จำเลยไป และหักดอกเบี้ยเดือนแรกไว้จำนวน 15,000 บาท ต่อมาจำเลยไม่ชำระดอกเบี้ย โจทก์ร่วมสงสัยจึงนำโฉนดที่ดินไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี สาขาปากเกร็ด และทราบว่าโฉนดที่ดินตามเอกสารหมาย จ.2 เป็นโฉนดที่ดินปลอม ต่อมาวันที่ 17 มีนาคม 2540 โจทก์ร่วมจึงไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีแก่นายถาวรและจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงและใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม จะเห็นว่าโจทก์ร่วมตกลงจะให้จำเลยกู้เงินตามที่นางภัครณีแนะนำมา แต่จำเลยไม่มีชื่อในโฉนดที่ดิน โจทก์ร่วมจึงให้ชายที่อ้างเป็นนายถาวรทำสัญญากู้เงินแทนและยึดโฉนดที่ดินของนายถาวรไว้เป็นประกัน หากจำเลยไม่มีหลักทรัพย์มาวางเป็นประกันการชำระหนี้แล้วโจทก์ร่วมคงจะไม่ให้จำเลยกู้เงินแน่ การที่จำเลยร่วมกับชายที่อ้างเป็นนายถาวรนำโฉนดที่ดินของปลอมมาหลอกลวงโจทก์ร่วม ทำให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อจ่ายเงินให้แก่จำเลยและชายคนดังกล่าวไป หลังจากนั้นโจทก์ร่วมติดต่อให้จำเลยชำระดอกเบี้ยและโจทก์ร่วมให้จำเลยไปพบที่ทำงานกับแจ้งให้ทราบว่านายถาวรนำโฉนดที่ดินปลอมมาวางเป็นหลักประกัน ประมาณต้นเดือนเมษายน 2540 จำเลยทำสัญญากู้เงินจำนวน 500,000 บาท ไว้ให้แก่โจทก์ร่วมตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.9 กับสั่งจ่ายเช็คธนาคารสหธนาคาร จำกัด (มหาชน) จำนวนเงิน 500,000 บาท เอกสารหมาย จ.10 ประมาณปลายเดือนเมษายน 2540 จำเลยนำเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาสีลม จำนวนเงิน 50,000 บาท มาชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ร่วม เมื่อโจทก์ร่วมนำไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คและใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 แม้โจทก์ร่วมจะเบิกความตอบทนายจำเลยขออนุญาตศาลถามว่า โจทก์ร่วมมอบเงินให้แก่ชายที่อ้างเป็นนายถาวรไปแต่จำเลยเป็นผู้นับเงิน ซึ่งเจือสมกับที่จำเลยนำสืบว่าชายที่อ้างเป็นนายถาวรเป็นผู้ตรวจนับเงิน จำเลยตรวจนับ 1 ปึก จำนวน 100,000 บาท จึงมิได้เป็นพิรุธว่าพยานโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความไม่อยู่แก่ร่องแก่รอยแต่อย่างใด การที่จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกู้เงินและเข้าร่วมลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้เงินเป็นการผิดวิสัยของการเป็นนายหน้าหาเงินกู้ นอกจากนี้จำเลยยังทำสัญญากู้เงินและสั่งจ่ายเช็คตามจำนวนเงินกู้ไปให้แก่โจทก์ร่วมรวมทั้งจ่ายเช็คชำระหนี้ค่าดอกเบี้ยไว้อีก แสดงให้เห็นว่าจำเลยร่วมกับพวกแบ่งหน้าที่กันทำโดยนำโฉนดที่ดินปลอมไปวางเป็นหลักประกันเงินกู้ อันเป็นการหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงอันควรบอกให้แจ้ง ทำให้จำเลยกับพวกได้เงินไปจากโจทก์ร่วม พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมฟังได้ว่า จำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานใช้เอกสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมและฉ้อโกง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีและจำนวนเงินที่จำเลยได้รับแล้ว เห็นว่า โทษที่ลงแก่จำเลยมานั้นสูงเกินไป เห็นสมควรลดโทษให้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share