คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2260/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์ให้ชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้งห่างกันไม่น้อยกว่า 30วันจำเลยไม่ชำระหนี้แต่จำเลยอาจจะชำระหนี้ได้ทั้งหมดศาลพิพากษายกฟ้องได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483 มาตรา14 ไม่ขัดต่อข้อสันนิษฐานตามมาตรา 8
จำเลยเป็นข้าราชการตำแหน่งหัวหน้าแผนกได้รับเงินเดือนเดือนละ 2,700บาทแม้เงินเดือนของจำเลยโจทก์ไม่อาจยึดมาชำระหนี้ของโจทก์ได้ก็เป็นคนละเรื่องกับความสามารถในการชำระหนี้ของจำเลย ฐานะราชการความประพฤติไม่เป็นหนี้บุคคลอื่นนอกจากโจทก์จำเลยย่อมอยู่ในฐานะที่สามารถจะขวนขวายชำระหนี้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาค้ำประกันไว้แก่โจทก์ว่าถ้านายกมลโกมลมิศร์ ลูกหนี้โจทก์ไม่ชำระหนี้จำนวน 72,000 บาทแก่โจทก์ จำเลยจะชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์โดยไม่มีเงื่อนไขตามสำเนาสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้อง นายกมลไม่ชำระหนี้และต่อมาถูกฟ้องเป็นบุคคลล้มละลายโจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญา 2 ครั้ง มีระยะเวลาห่างกันเกิน 30 วัน จำเลยไม่ชำระ จำเลยจึงเป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวหนี้ของจำเลยมีจำนวนแน่นอนและไม่น้อยกว่า 30,000 บาท จึงขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย

จำเลยให้การว่า จำเลยมีทรัพย์เกินกว่าหนี้ของโจทก์ หามีหนี้สินล้นพ้นตัวไม่ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยยังไม่ควรเป็นผู้ล้มละลาย พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยอาจชำระหนี้ให้โจทก์ได้ทั้งหมด ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาว่าจำเลยได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์ให้ชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่าสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวันและจำเลยไม่ชำระหนี้ พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8(9)สันนิษฐานว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยอาจชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ทั้งหมด จึงขัดต่อข้อสันนิษฐานของกฎหมายนั้นเห็นว่า ข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวเป็นแต่เพียงเหตุหนึ่งที่กฎหมายให้อำนาจโจทก์ฟ้องจำเลยให้ล้มละลายได้เท่านั้น ส่วนการพิจารณาคดีล้มละลายตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวนั้น พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 14 ให้ศาลพิจารณาเอาความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 หรือมาตรา 10 การที่ศาลอุทธรณ์เชื่อข้อเท็จจริงตามที่จำเลยนำสืบว่าอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมดและพิพากษายกฟ้องนั้น เป็นการใช้อำนาจตามความในมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483ไม่ขัดต่อข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

จำเลยเป็นข้าราชการกรมวิเทศสหการ ตำแหน่งหัวหน้าแผนกการเงินได้รับเงินเดือน ๆ ละ 2,700 บาท จริงอยู่เงินเดือนของจำเลยไม่อาจยึดมาชำระหนี้โจทก์ได้แต่พิจารณาในด้านความสามารถของจำเลยว่าอาจชำระหนี้ได้เพียงไรนั้น เห็นว่า จำเลยในฐานะเป็นข้าราชการชั้นหัวหน้าแผนกและไม่ปรากฏว่ามีความประพฤติเสียหายในเรื่องการเงินไม่เป็นหนี้บุคคลอื่นนอกจากโจทก์ จึงเชื่อว่าจำเลยอยู่ในฐานะที่สามารถจะขวนขวายหาเงินมาชำระหนี้โจทก์ได้ กับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีสิทธิการเช่าซื้อที่ดินและอาคารจากกรมประชาสงเคราะห์ซึ่งได้ผ่อนชำระมาแล้วเป็นเวลา 7 ปีเศษ และอาจโอนให้ผู้อื่นได้ในราคา 200,000 บาท

พิพากษายืน

Share