คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2254/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โฉนดและหนังสือมอบอำนาจซึ่งผู้เสียหายลงแต่ลายมือชื่อให้ไว้และอยู่ในความครอบครองของสามีจำเลยที่ 1 เมื่อสามีตายได้ตกอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ต่อมาได้มีการกรอกข้อความปลอม กับปลอมลายมือชื่อนายอำเภอผู้รับรอง และปลอมรอยดวงตราอำเภอลงในหนังสือมอบอำนาจ แล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันนำไปแสดงเป็นหลักฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อหนังสือมอบอำนาจ ได้ทำการโอนและแก้ทะเบียนโฉนดฉบับหลวงด้วยแล้วการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268, 252, 267 แต่เป็นการกระทำเพื่อประสงค์ให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน และเป็นการกระทำต่อเนื่องเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา 252 ซึ่งเป็นบทหนักแต่การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันเอาโฉนดพิพาทซึ่งเป็นเอกสารสิทธิของผู้เสียหายไปในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย และเป็นการกระทำต่างกรรมกับที่จำเลยกระทำมาดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงต้องมีความผิดตามมาตรา 188 อีกกระทงหนึ่ง
จำเลยที่ 1 ยึดถือโฉนดพิพาทไว้ก็เพื่อประสงค์กรรมสิทธิ์ในที่ดิน ไม่มีเจตนายังยอกโฉนดนั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานยักยอกตามมาตรา 352

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า (ก) จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ครอบครองโฉนดที่ดินที่ ๒๑๙๖ ของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระวรราชชายา ได้เบียดบังเอาโฉนดดังกล่าวให้เป็นของจำเลยที่ ๒ (ข) จำเลยที่ ๔ ร่วมกันนำโฉนดไปเสีย แล้วทำใบมอบอำนาจปลอมแล้วแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินโอนชื่อเป็นชื่อของจำเลยที่ ๒ (ค) จำเลยทั้ง ๔ ร่วมกันทำปลอมหนังสือมอบอำนาจ และลงลายมือชื่อนายอำเภอปลอมลงในหนังสือมอบอำนาจ (ง) จำเลยที่ ๔ ร่วมกันทำปลอมดวงตราประจำตำแหน่งนายอำเภอ และใช้ดวงตราดังกล่าวประทับลงในหนังสือมอบอำนาจปลอม (จ) จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกับแจ้งความต่อเจ้าพนักงานที่ดินโดยแสดงใบมอบอำนาจปลอม เจ้าพนักงานที่ดินปลงเชื่อ จึงจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงลงชื่อจำเลยที่ ๒ ในช่องผู้รับโอนที่ดินในโฉนดที่ดินฉบับหลวง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๘, ๒๕๑, ๒๕๒, ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๘, ๒๖๗, ๓๕๒, ๘๓ และให้จำเลยทั้ง ๔ จัดการคืนโฉนดที่ดินและโอนชื่อในโฉนดที่ดินคืนให้ผู้เสียหาย
จำเลยทั้ง ๔ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๘, ๒๕๒, ๒๖๗, ๒๖๘ เฉพาะจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามมาตรา ๓๕๒ อีกกระทงหนึ่ง แต่เป็นการกระทำกรรมเดียวกับความผิดตามมาตรา ๑๘๘ สำหรับความผิดของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ตามมาตรา ๒๕๒ ฐานใช้รอยตราปลอมนั้น เป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา ๒๖๘ จึงต้องลงโทษจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ตามมาตรา ๑๘๘ และมาตรา ๒๖๘ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกตามมาตรา ๑๘๘ คนละ ๑ ปี ตามมาตรา ๒๖๗ คนละ ๑ ปี ตามมาตรา ๒๖๘ คนละ ๑ ปี รวมจำคุกคนละ ๓ ปี คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ คงจำคุกคนละ ๒ ปี ยกฟ้องจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ คำขอให้ศาลสั่งคืนโฉนดและโอนชื่ในโฉนดคืนแก่ผู้เสียหายนั้น ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ ได้ขายฝากให้ผู้อื่น และกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวได้ตกเป็นของผู้อื่นแล้ว จึงไม่อาจสั่งเช่นนั้นได้ ข้อหาอื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสีย
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีความผิดตามมาตรา ๒๕๒, ๒๖๗, ๒๖๘ แต่เป็นการกระทำผิดต่อเนื่องกันเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงลงโทษตามมาตรา ๒๕๒ ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ส่วนกำหนดโทษลงให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกา โดยผู้พิพากษาผู้พิจารณาพิพากษาคดีในชั้นอุทธรณ์รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โฉนดเลขที่ ๒๑๙๖ และหนังสือมอบอำนาจซึ่งผู้เสียหายลงแต่ลายมือชื่อให้ไว้และอยู่ในความครอบครองของนายถวัลย์สามีจำเลยที่ ๑ แม่นายถวัลย์หาย ได้ตกอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๑ ต่อมาได้มีการกรอกข้อความปลอม กับปลอมลายมือชื่อนายอำเภอผู้รับรอง และปลอมรอยดวงตราอำเภอลงในหนังสือมอบอำนาจ แล้วจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้ร่วมกันนำไปแสดงเป็นหลักฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อหนังสือมอบอำนาจ ได้ทำการโอนและแก้ทะเบียนโฉนดฉบับหลวงด้วยแล้ว การกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จึงเป็นความผิดตามมาตรา ๒๖๘, ๒๕๒, ๒๖๗ แต่เป็นการกระทำเพื่อประสงค์ให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน และเป็นการกระทำต่อเนื่องเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๕๒ ซึ่งเป็นบทหนักชอบแล้ว แต่ที่ลงโทษตามมาตรา ๒๕๒ โดยกำหนดโทษให้คงเป็นไปตามศาลชั้นต้นซึ่งหมายถึงกำหนดโทษรวมของความผิดต่างกรรมเป็น ๓ กระทง เป็นการไม่ถูกต้องและเห็นว่าจำเลยยึดถือโฉนดไว้ก็เพื่อประสงค์กรรมสิทธิ์ในที่ดิน ไม่มีเจตนายักยอกโฉนดที่ดินจำเลยที่ ๑ จึงไม่ควรมีความผิดฐานยักยอกตามมาตรา ๓๕๒ แต่เนื่องจากจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันเอาโฉนดซึ่งเป็นเอกสารสิทธิของผู้เสียหายไปในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย อันเป็นความผิดตามมารตรา ๑๘๘ และเป็นการกระทำต่างกรรมกับที่จำเลยกระทำมาดังกล่าวข้างต้น จึงต้องมีความผิดตามมาตรา ๑๘๘ อีกกระทงหนึ่งด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีความผิดตามมาตรา ๒๕๒ จำคุกคนละ ๑ ปี และมีความผิดตามมาตรา ๑๘๘ อีกกระทงหนึ่ง จำคุกคนละ ๑ ปี คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ คงให้จำคุกจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไว้คนละ ๑ ปี ๔ เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share