คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2251/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีอาญาโจทก์มีหน้าที่นำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้อง ดังนั้นปัญหาที่จำเลยอุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำมาสืบมีน้ำหนักรับฟังลงโทษจำเลยได้หรือไม่ ถือได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น แม้ในศาลชั้นต้นจำเลยจะนำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่ก็ตาม การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยเมื่อเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาและเพื่อให้การวินิจฉัยความผิดของจำเลยเป็นไปตามลำดับศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208(2)ประกอบด้วยมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 264, 265, 266, 268, 341, 342 ริบของกลางให้จำเลยทั้งสองคืนเงินจำนวน 88,100 บาท แก่ผู้เสียหายและนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 666/2537 ของศาลชั้นต้นและนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1867/2537และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1869/2537 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันกันจำเลยในคดีที่ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 266(1),342(1) วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 341 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารปลอมตามมาตรา 268 วรรคแรก กฎหมายให้ลงโทษฐานปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมตามมาตรา 266(1) ให้จำคุกคนละ 4 ปี ริบของกลาง กับให้จำเลยทั้งสองใช้เงินจำนวน 88,000 บาทแก่ผู้เสียหาย นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 666/2537 ของศาลชั้นต้น นับโทษจำคุกจำเลยที่ 2ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1869/2537 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2459/2539 ของศาลชั้นต้น ส่วนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1867/2537 ของศาลชั้นต้น ปรากฏว่าศาลพิพากษายกฟ้อง จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ให้ยกคำขอในส่วนนี้ ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก, 266(1), 342(1) วรรคแรก, 341 ประกอบมาตรา 83 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1โดยเห็นว่าจำเลยที่ 1 ต่อสู้คดีโดยอ้างฐานที่อยู่ อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่โต้แย้งการรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นนั้นชอบหรือไม่ว่า คดีนี้จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ โจทก์มีหน้าที่นำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดตามฟ้อง ปัญหาว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำมาสืบมีน้ำหนักรับฟังลงโทษจำเลยทั้งสองได้หรือไม่ ถือได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ข้อที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า ถ้าผู้เสียหายตรวจดูสำเนาทะเบียนบ้านและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเปรียบเทียบกับตัวจำเลยที่ 1 ที่อยู่ต่อหน้า ผู้เสียหายก็จะพบพิรุธของผู้ที่ฉ้อโกงผู้เสียหายกับสามีเบิกความแตกต่างกันในเรื่องสถานที่ที่ผู้เสียหายมอบเงินให้จำเลยที่ 1 และในการที่ผู้เสียหายชี้ตัวคนร้ายพนักงานสอบสวนไม่ได้จัดให้บุคคลภายนอกมาเข้าแถวร่วมกับจำเลยที่ 1ทั้งมิได้ถ่ายภาพไว้จึงไม่น่าเชื่อถือนั้นล้วนแต่เป็นการอุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 จึงเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นแล้ว แม้จำเลยที่ 1 จะนำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่ จำเลยที่ 1ก็ชอบที่จะยกขึ้นอุทธรณ์ได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ในข้อดังกล่าวของจำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบ และศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาและเพื่อให้การวินิจฉัยความผิดของจำเลยเป็นไปตามลำดับศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208(2)ประกอบด้วยมาตรา 225
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ให้ครบถ้วน แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share