คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2251/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หลังจากที่จำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนสืบพยานเสร็จและแถลงหมดพยานแล้ว จำเลยยื่นเอกสารในระหว่างถามค้านตัวโจทก์ที่อ้างตนเองเป็นพยานอีก เมื่อโจทก์รับรองเอกสารนั้น จำเลยย่อมอ้างเป็นพยานหลักฐานประกอบคำของโจทก์ได้ เพราะพยานเอกสารดังกล่าวมิใช่เป็นพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของจำเลยซึ่งจะต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนของกฎหมาย จำเลยจึงไม่ต้องยื่นคำร้องต่อศาล อ้างเหตุถึงการไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานได้ภายในกำหนด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คธนาคารศรีนคร จำกัดสาขาปากเกร็ด ลงวันที่ 20 มีนาคม 2530 จำนวนเงิน 500,000 บาทโดยจำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย ผู้มีชื่อได้นำเช็คฉบับดังกล่าวมาแลกเงินสดจากโจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 500,000บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์กับผู้มีชื่อคบคิดกันฉ้อฉลนำเช็คพิพาทมาฟ้องจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นรับพยานเอกสารหมายล.24 ถึง ล.27 หลังจากที่จำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบพยานก่อนสืบพยานเสร็จและแถลงหมดพยานแล้ว จำเลยมายื่นเอกสารอีกโดยไม่ยื่นคำร้องต่อศาลอ้างเหตุถึงการไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานได้ภายในกำหนดเป็นการชอบหรือไม่นั้น เห็นว่า พยานเอกสารดังกล่าวมิใช่เป็นพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของจำเลยซึ่งจะต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนของกฎหมาย แต่หากจำเลยใช้ในการถามค้านตัวโจทก์ที่อ้างตนเองเป็นพยาน เมื่อโจทก์รับรองเอกสารนั้น จำเลยย่อมอ้างเป็นพยานหลักฐานประกอบคำของโจทก์ได้ ไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายแต่อย่างใด ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share