แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
บันทึกข้อตกลงในช่องข้อตกลงของคู่กรณีระบุให้ ส. (บุตรโจทก์)ขนย้ายครอบครัวออกจากบ้านเช่าภายใน 60 วัน ส่วนจำเลยยินยอมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 8021 เนื้อที่ 35 ตารางวา ให้แก่โจทก์ ดังนี้ จะเห็นว่าข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยดังกล่าวกำหนดให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายต่างมีภาระหน้าที่ต่อกันและเป็นการระงับข้อพิพาทที่มีอยู่ จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 45836 ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่ 35 ตารางวา ที่แบ่งแยกแล้วให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไปขอให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 45836 ซึ่งแบ่งแยกออกมาจากโฉนดเลขที่ 8021 จำเลยเคยประสงค์จะยกที่ดินโฉนดเลขที่ 8021 บางส่วนให้แก่โจทก์โดยทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ในที่สุดการให้ระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง นอกจากนี้การที่โจทก์ยังคงอยู่ในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 45836 เป็นการโต้แย้งสิทธิจำเลย ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับโจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทต่อไป และให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยในอัตราเดือนละ 500บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะออกจากที่ดินพิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์และจำเลยได้ตกลงระงับข้อพิพาทที่มีอยู่โดยทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความกันไว้ต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าจำเลยจะแบ่งที่ดินโอนให้แก่โจทก์และมีเจตนาทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในภายหลัง เมื่อเป็นดังนี้จำเลยจึงได้แบ่งแยกที่ดินออกมาเป็นที่ดินแปลงพิพาทตามโฉนดเลขที่ 45836ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่ 35ตารางวา ตามเจตนาที่ได้ตกลงกัน สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่เป็นโมฆะจำเลยมีหน้าที่ตามสัญญาจะต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ จำเลยจึงฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ไม่ได้ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตามโฉนดเลขที่ 45836 ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาครแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติว่าโจทก์และจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน โจทก์ปลูกบ้าน 2 หลัง อยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 8021 ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาครซึ่งเป็นที่ดินที่บิดามารดายกให้จำเลย ต่อมาจำเลยจะขายที่ดินแต่โจทก์ไม่ยอมรื้อถอนบ้านออกไป โจทก์กับจำเลยเจรจากันที่ที่ว่าการอำเภอเมืองสมุทรสาครและทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.3 หรือ ล.2ปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า ข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาให้หรือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ พิเคราะห์เอกสารหมาย จ.3 แล้ว แผ่นแรกระบุเรื่องว่า เป็นเรื่องไกล่เกลี่ยกรณีค่ารื้อถอนมีการบันทึกถ้อยคำของโจทก์และจำเลย แผ่นที่สามเป็นคำเปรียบเทียบของนายอำเภอระบุว่าให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายดำเนินการตามข้อตกลงในช่องข้อตกลงของคู่กรณีระบุให้นางสวง พันเปรม (บุตรโจทก์)ขนย้ายครอบครัวออกจากบ้านเช่าภายใน 60 วัน ส่วนจำเลยยินยอมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 8021 ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่ .35 ตารางวา ให้แก่โจทก์ ดังนี้ จะเห็นว่าข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยดังกล่าวกำหนดให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายต่างมีภาระหน้าที่ต่อกันและเป็นการระงับข้อพิพาทที่มีอยู่ จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ หาใช่สัญญาให้ตามที่จำเลยฎีกาแต่ประการใดไม่ เมื่อโจทก์ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาเป็นการตอบแทนโดยโอนที่ดินตามโฉนดเลขที่ 45876 เนื้อที่ 35 ตารางวา ซึ่งจำเลยแบ่งแยกออกมาจากที่ดินตามโฉนดเลขที่ 8021 ให้แก่โจทก์ การที่จำเลยบิดพลิ้วไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องร้องบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้และจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายผิดสัญญาย่อมไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน