คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2245/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟส่องสว่างจากเวทีการแสดง ส.และ ม. เห็นจำเลยที่ 1 ในระยะใกล้ชิดย่อมจำจำเลยที่ 1 ได้แม่นยำ และเด็กชาย ว. เบิกความในขณะเกิดเหตุยืนอยู่บริเวณหน้าเวทีดนตรี เห็นชาย 2 คนชกต่อยกัน ดนตรีหยุดการแสดง และภาพยนตร์หยุดฉาย ขณะนั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ทางด้านหลังแล้วเด็กชาย ว. ได้แถลงต่อศาลว่าไม่สามารถจะเบิกความต่อไปได้เพราะก่อนจะมาเบิกความได้มีคนมาขู่ว่าถ้าไปเป็นพยานจะถูกฆ่าทั้งโคตร ตามพฤติการณ์แห่งคดีที่เด็กชาย ว. แถลงให้ศาลทราบเช่นนั้น เชื่อว่าเด็กชาย ว. ต้องเห็นคนร้ายในขณะเกิดเหตุจริงขณะเบิกความเป็นพยานต่อศาลรู้สึกกลัวว่าอาจจะถูกทำร้ายตามคำขู่ จึงไม่กล้าที่จะเบิกความต่อไป เด็กชาย ว. ให้การในชั้นสอบสวนต่อพนักงานสอบสวนในระยะเวลาใกล้ชิดกับเวลาเกิดเหตุเกี่ยวกับรูปพรรณของจำเลยที่ 1 ว่าเป็นคนร้ายที่ใช้ปืนยิงผู้ตายโดยมีพนักงานสอบสวนมาเบิกความรับรองว่าเป็นผู้บันทึกปากคำเด็กชาย ว. ประกอบกับจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนและนำเจ้าพนักงานไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ดังนี้ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายใช้ปืนยิงผู้ตายจริง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4)ประกอบด้วยมาตรา 289(7), 80, 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 กับให้ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ของกลางให้ริบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุกตลอดชีวิต จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80, 53 จำคุก 33 ปี4 เดือน คำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสองในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณษ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 33 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 2 มีกำหนด 22 ปี 2 เดือน20 วัน ปลอกกระสุนปืนของกลางคงให้ริบ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายใช้ปืนยิงที่นายสมชาย เอมศิริ นายพนม กัลปพฤกษ์ และนายสามารถ ทับทวีกระสุนปืนถูกนายพนมและนายสามารถ นายพนมได้รับอันตรายสาหัสส่วนนายสามารถได้รับอันตรายแก่กาย ต่อมาคนร้ายใช้ปืนยิงนายสนิทโพธิ์ชัย กระสุนปืนถูกที่ศีรษะและหัวเข่า นายสนิทถึงแก่ความตายรายละเอียดปรากฏตามรายงานการชันสูตรบาดแผลและรายการชันสูตรพลิกศพของแพทย์ท้ายฟ้อง คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ คดีสำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์มีนายสมชาย เอมศิริ และนายสามารถ ทับทวี เบิกความว่า ในวันเกิดเหตุนายสมชายนำภาพยนตร์และดนตรีไปแสดงที่บริเวณสนามในโรงเรียนบ้านหนองใหญ่ ตำบลอ่างทองอำเภอเมืองกำแพงเพชร ระหว่างการแสดงมีชาย 8 คน เมาสุราเข้ามาในงานโดยไม่ยอมเสียค่าผ่านประตู ต่อมาชายกลุ่มนั้นเข้าไปแกะเชื้อกกั้นเวทีรำวงเพื่อจะเข้าไปเต้นรำโดยไม่ยอมเสียเงิน นายสมชายจึงลงจากเวทีไปพูดกับชายกลุ่มนั้น และจูงมือจำเลยที่ 2 เข้าไปพูดข้างในขณะนั้นจำเลยที่ 1 เข้ามาชกนายสมชายที่กกหู จากนั้นก็เกิดชุลมุนต่อสู้กันระหว่างชายกลุ่มนั้นกับนายสมชายและพวก เห็นว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟส่องสว่างมาจากเวทีการแสดง นายสมชายและนายสามารถเห็นจำเลยที่ 1 ในระยะใกล้ชิดย่อมจำจำเลยที่ 1ได้แม่นยำ เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนหนึ่งในกลุ่มชายดังกล่าวที่ชกต่อยกับนายสมชายและพวก และโจทก์มีเด็กชายวัลลภ หงทับทิมเบิกความว่า ในขณะเกิดเหตุยืนอยู่บริเวณหน้าเวทีดนตรี เห็นชาย 2 คนชกต่อยกัน และมีคนมายืนดู หลังจากนั้นดนตรีหยุดการแสดงและภาพยนต์หยุดฉาย พวกนักดนตรีจึงเก็บเครื่องดนตรี ขณะนั้นได้ยินเสียปืนดังขึ้น 1 นัด ทางด้านหลัง แล้วเด็กชายวัลลภได้แถลงต่อศาลชั้นต้นว่าไม่สามารถจะเบิกความต่อไปได้เพราะก่อนจะมาเบิกความได้มีคนขู่ว่าถ้าไปเป็นพยา่นจะถูกฆ่าทั้งโคตร ตามพฤติการณ์แห่งคดีที่เด็กชายวัลลภแถลงให้ศาลทราบเช่นนั้น เชื่อว่าเด็กชายวัลลภต้องเห็นคนร้ายในขณะเกิดเหตุจริง ขณะเบิกความเป็นพยานต่อศาลรู้สึกกลัวว่าอาจจะถูกทำร้ายตามคำขู่ จึงไม่กล้าที่จะเบิกความต่อไป อย่างไรก็ตามเด็กชายวัลลภได้ให้การในชั้นสอบสวนต่อพนักงานสอบสวนให้รายละเอียดเกี่ยวกับรูปพรรณของจำเลยที่ 1 ว่าเป็นคนร้ายที่ใช้ปืนยิงนายสนิทผู้ตายโดยระบุยืนยันว่า คนร้ายที่ยิงผู้ตายเป็นบุคคลคนเดียวกับชายที่เมาสุราและมีเรื่องชกต่อยกับนักดนตรี ซึ่งขณะชกต่อยมีอาการเมาสุราและถอดเสื้อมีรูปรอยสักที่แขนขวาและด้านหลังตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.1 คำให้การของเด็กชายวัลลภดังกล่าว ร้อยตำรวจโทไพฑูรย์ อันดลโนกุล พนักงานสอบสวนผู้ทำบันทึกได้มาเบิกความรับรองว่าเป็นผู้บันทึกไว้จากการสอบสวนปากคำเด็กชายวัลลภจริง เด็กชายวัลลภให้การต่อพนักงานสอบสวนในระยะเวลาใกล้ชิดกับเวลาเกิดเหตุ ทั้งไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1มาก่อน เชื่อว่าให้การไปตามความจริงที่รู้เห็น นายสามารถเบิกความสนับสนุนว่า ขณะจำเลยที่ 1 ชกต่อยกับนายสมชาย จำเลยที่ 1 ถอนเสื้อทั้งปรากฏว่าเด็กชายวัลลภชี้ตัวจำเลยที่ 1 ได้ถูกต้องว่าเป็นคนร้ายโดยจำเลยที่ 1 มีรายสักที่บริเวณแผ่นหลังจริง ปรากฏตามภาพถ่ายการชี้ตัวผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.4 ประกอบกับในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1ให้การรับสารภาพและนำเจ้าพนักงานไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพตามบันทึกและภาพถ่ายหมาย ป.จ.4, ป.จ.6, ป.จ.7, ป.จ.8ของศาลจังหวัดตาก พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนค้ายใช้ปืนยิงนายสนิทถึงแก่ความตายจริงพยานหลักฐานจำเลยที่ 1 ไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share