แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฎีกาของจำเลยทั้งสองมิได้กล่าวถึงคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยบรรยายในฎีกาเพียงว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงไม่ถูกต้อง และเอกสารหมาย จ.1รับฟังไม่ได้ ซึ่งเมื่ออ่านฎีกาของจำเลยทั้งสองโดยตลอดแล้ว ไม่อาจทราบได้ว่าคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าอย่างไร ทั้งไม่อาจทราบได้ว่าข้อที่จำเลยทั้งสองยกขึ้นฎีกานั้น เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์หรือไม่ ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกศาลฎีกาจึงไม่อาจรับไว้วินิจฉัยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระหนี้จำนวน 32,250 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองได้กู้เงินโจทก์เพียง5,000 บาท จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในสัญญากู้ และจำเลยที่ 2ลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกัน โดยที่สัญญาดังกล่าวมิได้กรอกข้อความไว้ ต่อมาโจทก์กรอกข้อความเขียนจำนวนเงินกู้เป็น 30,000 บาทโดยมิได้รับความยินยอมจากจำเลยทั้งสอง สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันเป็นเอกสารปลอม
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ฟ้องฎีกาต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยทั้งสองมิได้กล่าวถึงคำพิพากษาศาลชั้นต้น และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1โดยบรรยายในฎีกาเพียงว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงไม่ถูกต้อง และเอกสารหมาย จ.1 รับฟังไม่ได้ ซึ่งเมื่ออ่านฎีกาของจำเลยทั้งสองโดยตลอดแล้ว ไม่อาจทราบได้ว่าคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าอย่างไร ทั้งไม่อาจทราบได้ว่าข้อที่จำเลยทั้งสองยกขึ้นฎีกานั้นเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์หรือไม่ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาจึงไม่อาจรับไว้วินิจฉัยได้
พิพากษายกฎีกาของจำเลยทั้งสอง