แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 1 ซื้อรถยนต์คันพิพาทด้วยเงินที่ลักไปจากผู้ร้อง จะถือว่ารถยนต์พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องหาได้ไม่เพราะรถยนต์พิพาทไม่ใช่ทรัพย์ของผู้ร้องที่จำเลยที่ 1 ลักเอาไปเมื่อผู้ร้องไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาท ผู้ร้องจึงไม่ถูกโต้แย้งสิทธิและไม่มีอำนาจร้องขอให้ปล่อยรถยนต์พิพาทที่โจทก์นำยึด
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันแก่โจทก์จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์จึงขอให้บังคับคดีและนำยึดรถยนต์ยี่ห้อ บี.เอ็ม.ดับบลิว. หมายเลขทะเบียน 2 ฉ-2528กรุงเทพมหานคร โดยอ้างว่าเป็นของจำเลยที่ 1 เพื่อบังคับชำระหนี้
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า รถยนต์คันที่โจทก์นำยึด จำเลยที่ 1ได้มาด้วยเงินที่ได้จากการทุจริตจากธนาคารผู้ร้อง สาขาป่าโมกจังหวัดอ่างทอง จึงไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 แต่เป็นของผู้ร้อง โจทก์กับจำเลยทั้งสองสมคบกันทำสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันเพื่อดำเนินการยึดทรัพย์โดยไม่ชอบ ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์และจำเลยที่ 1 ให้การและคัดค้าน มีใจความอย่างเดียวกันว่ารถยนต์คันที่โจทก์นำยึดเป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มิได้กระทำการทุจริตใด ๆ ต่อผู้ร้องจำเลยที่ 1 ซื้อรถยนต์ที่โจทก์นำยึดด้วยเงินของจำเลยที่ 1 หนี้สินระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองเป็นหนี้อันแท้จริง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยแต่เพียงว่าผู้ร้องมีสิทธิร้องขอให้ปล่อยรถยนต์พิพาทหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ซื้อรถยนต์พิพาทด้วยเงินที่ลักไปจากผู้ร้องดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้างและฎีกา แต่ก็จะถือรถยนต์พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องหาได้ไม่ เพราะรถยนต์พิพาทไม่ใช่ทรัพย์ของผู้ร้องที่จำเลยที่ 1 ลักเอาไป เมื่อผู้ร้องไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาท ผู้ร้องจึงไม่ถูกโต้แย้งสิทธิและไม่มีอำนาจร้องขอให้ปล่อยรถยนต์พิพาทที่โจทก์นำยึด ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน