คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2241/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บ. เป็นหนี้โจทก์ บ. ได้จำนองที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของ บ. ต่อโจทก์ ขณะเดียวกัน บ.ก็เป็นหนี้ล. บิดาภรรยาจำเลย แต่ไม่มีหลักประกันใด โจทก์ จำเลย บ. และล. ตกลงกันที่จะเอาเงินจากธนาคารมาชำระหนี้โจทก์ โดยให้โจทก์ยอมให้ บ. จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองก่อนแล้ว บ. ขายที่ดินดังกล่าวของ บ. ให้โจทก์ โจทก์ขายที่ดินนั้นให้จำเลย จำเลยนำที่ดินนั้นไปจดทะเบียนจำนองต่อธนาคารเพื่อนำเงินมาใช้หนี้แทน บ. ให้โจทก์ข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงประเภทหนึ่งใช้บังคับได้ เมื่อโจทก์กระทำการตามที่ตกลงกันแล้ว แต่จำเลยไม่สามารถนำเงินจากธนาคารมาชำระหนี้โจทก์ได้ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินตามที่ตกลงกันเมื่อจำเลยยังไม่ชำระเงินให้โจทก์ โจทก์จึงยึดหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยไว้ได้ตามที่จำเลยตกลงให้โจทก์เก็บไว้เพื่อรอให้จำเลยนำเงินไปชำระหนี้เก่าของจำเลยที่มีต่อธนาคารก่อนเมื่อจำเลยชำระหนี้แล้ว โจทก์ยอมส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวคืนให้จำเลยได้ การที่โจทก์นำสืบถึงข้อตกลงอีกส่วนหนึ่งระหว่างโจทก์ จำเลยบ. และ ล. ต่างหากจากสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยว่าได้มีการตกลงในการชำระราคาที่ดินกันอย่างไร จึงหาใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาซื้อขายที่ดินที่ระบุว่าจำเลยได้ชำระราคาที่ดินให้โจทก์แล้วไม่ โจทก์ย่อมนำสืบได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นางใบเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1391 อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัยนางใบเป็นหนี้โจทก์ 70,000 บาท จึงนำที่ดินดังกล่าวไปจำนองกับโจทก์ และนางใบเป็นหนี้นายสอนพ่อตาจำเลย 90,000 บาท แต่ไม่มีหลักประกัน นางใบไม่สามารถชำระหนี้ได้ โจทก์ จำเลย นางใบ และนายสอนจึงตกลงกันจะเอาเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยจำเลยจะเป็นผู้ขอกู้จากธนาคารมาใช้หนี้ ถ้าธนาคารอนุมัติก็ให้นางใบโอนขายที่ดินจำนองให้โจทก์ในราคา 70,000 บาทและให้โจทก์ขายที่ดินให้จำเลยในราคา 70,000 บาท และให้จำเลยเอาที่ดินทำจำนองประกันเงินกู้กับธนาคารต่อไป เมื่อจำเลยได้เงินกู้แล้ว จำเลยจะนำมาชำระให้โจทก์ 70,000 บาท ต่อมาธนาคารอนุมัติให้จำเลยกู้ได้ นางใบทำสัญญาขายที่ดินให้โจทก์ในราคา 70,000 บาทโจทก์ทำสัญญาขายให้จำเลยและจำเลยทำจำนองต่อธนาคารในวันเดียวกันโดยโจทก์มิได้รับเงิน จำเลยมอบหลักฐานเรื่องการขอกู้เงินให้โจทก์เพื่อไปยื่นขอรับเงินจากธนาคาร ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้ธนาคารตามระเบียบจะต้องชำระหนี้เก่าให้หมดก่อนจึงจะมีสิทธิกู้ใหม่ จำเลยจึงไม่ได้ชำระหนี้ตามสัญญาให้โจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย คิดเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 3,322.50 บาทขอบังคับจำเลยชดใช้เงิน 73,322.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 70,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยได้ชำระราคาที่ดิน 70,000 บาทให้โจทก์แล้วในวันทำสัญญา หนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1391จำเลยฝากโจทก์ไว้มิได้มอบให้ไปยื่นขอรับเงินจากธนาคาร โจทก์จำเลยไม่มีหนี้ต่อกัน จำเลยเกรงว่าโจทก์จะนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปขอรับเงินจากธนาคารและกลัวจะนำไปใช้อย่างอื่น ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์คืนจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ได้รับเงินจากจำเลยจำเลยมอบเอกสารต่าง ๆ ทั้งหมดให้โจทก์ไปยื่นเรื่องราวขอรับเงินจากธนาคาร แต่จำเลยมีหนี้ค้างแก่ธนาคาร ธนาคารจึงไม่จ่ายเงินจำเลยผัดผ่อนเพื่อจะขอชำระหนี้เก่ากับธนาคาร และให้โจทก์ยึดหลักฐานดังกล่าวทั้งหมดไว้ เมื่อมีเงินมาชำระหนี้เก่าแล้วจะนำหลักฐานที่อยู่กับโจทก์ไปขอรับเงินที่กู้รายใหม่ เมื่อจำเลยยังไม่ชำระหนี้ให้โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเอกสารคืน ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และยกฟ้องแย้งจำเลย
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 73,322.50 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 70,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ เมื่อจำเลยชำระเงินแก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ให้โจทก์ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1391 แก่จำเลย นอกจากที่แก้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า นางใบเป็นหนี้โจทก์70,000 บาท จึงจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1391 เป็นประกัน และนางใบเป็นหนี้นายสอนบิดาภริยาจำเลย90,000 บาท แต่ไม่มีหลักประกัน โจทก์ จำเลย นางใบ และนายสอนตกลงกันจะเอาเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรสาขาอุตรดิตถ์มาใช้หนี้โดยจำเลยจะเป็นผู้ขอกู้จากธนาคาร เมื่อได้รับอนุมัติแล้วให้นางใบไถ่ถอนจำนองแล้วโอนขายที่ดินที่จำนองให้โจทก์ โจทก์โอนขายต่อให้จำเลย แล้วจำเลยนำที่ดินจำนองธนาคารและรับเงินจากธนาคารมาชำระหนี้โจทก์ 70,000 บาท ส่วนที่นางใบเป็นหนี้นายสอนก็หักกลบลบกันไป วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2528 จำเลยยื่นคำขอกู้เงินจากธนาคารเพื่อจัดซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวแล้วจะนำมาจำนองธนาคาร ผู้จัดการธนาคารสั่งให้จำนองได้ ต่อมาพนักงานสินเชื่อไปตรวจสอบที่ดินแล้วบันทึกรายงานเสนอผู้จัดการธนาคารผู้จัดการธนาคารสั่งเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2528 ให้จำนองในวงเงิน125,000 บาท และใช้เป็นประกันหนี้เงินกู้ได้ไม่เกิน 62,500 บาทครั้นวันที่ 18 มิถุนายน 2528 นางใบจึงจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองจากโจทก์แล้วโอนขายให้โจทก์ วันรุ่งขึ้นโจทก์ก็จดทะเบียนโอนขายให้จำเลย และจำเลยจดทะเบียนจำนองต่อธนาคาร จำเลยได้มอบหลักฐานการขอกู้เงิน หนังสือรับรองการทำประโยชน์ สัญญาซื้อขายและหลักฐานเกี่ยวกับการจำนองทั้งหมดให้โจทก์ไปยื่นขอรับเงินจากธนาคารเพราะมีระเบียบของธนาคารว่าจะจ่ายเงินให้ผู้ขายที่ดินเท่านั้น แต่ปรากฏว่าธนาคารยังไม่จ่ายเงินตามที่มีคำขอกู้เงินนั้นแล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า น่าเชื่อว่าโจทก์ยึดถือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยไว้เพราะจำเลยตกลงให้โจทก์เก็บไว้รอให้จำเลยนำเงินไปชำระธนาคารก่อนจริง และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าเห็นว่า การที่โจทก์ จำเลย นางใบ และนายสอนตกลงกันเพื่อจะเอาเงินจากธนาคารมาชำระหนี้ให้โจทก์ โดยให้โจทก์ยอมให้นางใบจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองก่อนแล้วขายให้โจทก์ โจทก์ขายให้จำเลยจำเลยจดทะเบียนจำนองต่อธนาคารโดยจำเลยรับใช้หนี้แทนนางใบให้โจทก์นั้น เป็นข้อตกลงประเภทหนึ่ง ใช้บังคับได้ เมื่อโจทก์กระทำตามที่ตกลงกันแล้วแต่จำเลยไม่สามารถเอาเงินมาชำระหนี้โจทก์ได้ จำเลยจึงต้องรับผิดตามที่ตกลงกันและเมื่อจำเลยยังไม่ชำระเงินให้โจทก์ โจทก์จึงยึดหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยได้ เมื่อจำเลยชำระหนี้แล้วให้โจทก์ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวคืนให้จำเลย
ที่จำเลยฎีกาว่า หนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินระบุชัดแจ้งว่าจำเลยได้ชำระราคาที่ดินให้โจทก์ 70,000 บาทแล้ว โจทก์จะนำพยานบุคคลมาสืบแก้ไข เปลี่ยนแปลงเอกสารไม่ได้นั้น เห็นว่าการนำสืบของโจทก์ดังกล่าวเป็นการนำสืบถึงข้อตกลงอีกส่วนหนึ่งระหว่างโจทก์ จำเลย นางใบ และนายสอนต่างหากจากสัญญาซื้อขายที่ดินว่าได้มีการตกลงในการชำระราคาที่ดินกันอย่างไร จึงหาใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาซื้อขายที่ดินไม่ โจทก์ย่อมนำสืบได้
พิพากษายืน.

Share