แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีก่อนบุคคลภายนอกฟ้องโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างและจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างให้ร่วมกันรับผิดในมูลละเมิดที่จำเลยได้ขับรถยนต์ในทางการที่จ้างโดยประมาทชนรถที่ ส.ขับเป็นเหตุให้ส. ถึงแก่ความตายศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดทั้งคดีอาญาและคดีแพ่งว่าจำเลยมิได้ประมาท ส่วนคดีนี้ โจทก์ฟ้องจำเลยว่าขับรถโดยประมาทชนกับรถ ส.เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างต้องชดใช้ค่าเสียหายแทนจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างไปก่อน ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวคืนโจทก์ ดังนี้ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้จึงมีว่า จำเลยเป็นฝ่ายขับรถยนต์โดยประมาทหรือไม่เช่นเดียวกับคดีก่อน ฉะนั้นแม้ว่าคดีก่อนโจทก์กับจำเลยในคดีนี้ต่างเป็นจำเลยด้วยกันก็ตาม ก็ต้องถือว่าโจทก์เป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลในคดีดังกล่าวด้วยคำพิพากษาในคดีนั้นจึงผูกพันโจทก์ในคดีนี้ด้วย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์ ปัจจุบันโจทก์เลิกจ้างจำเลยแล้ว ขณะจำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์ จำเลยได้รับมอบหมายให้ขับรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน 10-0647 กรุงเทพมหานคร จากตลาดพลูไปจังหวัดนนทบุรี ระหว่าง ทางจำเลยขับรถประมาทปราศจากความระมัดระวังใช้ความเร็วสูงทำให้เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลหมายเลขทะเบียน ก – 7517 นนทบุรี ซึ่งมีนายสนอง พงษ์ไทย ขับสวนทางมา หลังจากเกิดเหตุจำเลยหลบหนีไป ต่อมาถูกจับกุม ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก โจทก์ต้องจ่ายค่าเสียหายเป็นค่าซ่อมรถคันดังกล่าวของโจทก์แทนจำเลยไปเป็นเงิน 14,650 บาท จึงชอบที่จะได้รับชดใช้คืนจากจำเลย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 14,650 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เหตุรถชนกันตามฟ้องโจทก์มิได้เกิดจากความประมาทของจำเลย แต่เกิดจากความประมาทของนายสนอง พงษ์ไทย โดยจำเลยขับรถด้วยความระมัดระวัง ได้มีนายสนองขับรถยนต์แล่นสวนทางมาด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงด้วยความเร็วสูงขับแซงรถคันหน้าล้ำเข้ามาในช่องทางเดินรถของจำเลยในระยะกระชั้นขิดทำให้แซงไม่พ้นจึงแล่นเข้าชนรถที่จำเลยขับในช่องทางเดินรถของจำเลยจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายคร งนี้ โจทก์ชอบที่จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ที่ก่อให้เกิดความเสียหายโดยตรง และเหตุรถชนกันในคดีนี้ ได้เคยมีการฟ้องร้องดำเนินคดีแก่จำเลยจนมีคำพิพากษาถึงที่สุดทั้งทางแพ่งและทางอาญาว่าจำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดโดยในคดีแพ่งดังกล่าวนั้น โจทก์ได้ถูกฟ้องให้รับผิดร่วมกับจำเลยด้วยและโจทก์ก็ต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำโดยประมาท ก่อให้เกิดความเสียหายแต่อย่างใด โจทก์ มาฟ้องเป้นคดีนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และค่าเสียหายตามที่โจทก์กล่าวอ้างมาในฟ้องนั้นเกินไปจากความจริงความเสียหายที่เกิดจากรถชนกันครั้งนี้ไม่เกิน 4,000 บาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์
วันนัดพิจารณา คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า เมื่อเกิดเหตุรถชนกันแล้วได้มีนางสะเวียง พงษ์ไทย และนายเดชา พงษ์ไทย ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยในคดีนี้เป็นจำเลยที่ 2 ต่อศาลแพ่งกล่าวหาว่า จำเลยในคดีนี้ขับรถประมาทเป็นเหตุให้เสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของนายสนอง พงษ์ไทย ซึ่งโจทก์ในคดีนี้ให้การต่อสู้ในคดีดังกล่าว จำเลยในคดีนี้มิได้ขับรถประมาทก่อให้เกิดความเสียหาย และศาลแพ่งได้วินิจฉัยว่าจำเลยในคดีนี้มิได้ขับรถประมาทก่อให้เกิความเสียหาย พิพากษายกฟ้องปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ 22122/2530 ของศาลแพ่ง และคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว นอกจากนี้ในมูลเหตุเดียวกันพนักงานอัยกายได้ฟ้องจำเลยในคดีนี้เป็นคดีอาญาข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบกต่อศาลอาญาธนบุรีซึ่งศาลอาญาธนบุรีพิพากษายกฟ้องในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย คดีถึงที่สุดปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่5877/2529 ของศาลอาญาธนบุรี ส่วนค่าเสียหายของโจทก์รับกันว่ามีจำนวนตามฟ้อง
ศาลแรงงานกลางเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย
ศาลแรงงานพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “คีดคงมีปัญหามาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาแต่เพียงว่า คำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่22122/2530 ของศาลแพ่งที่ฟังข้อเท็จจริงว่า เหตุที่รถยนต์คันที่จำเลยในคดีนี้ขับชนกับรถยนต์คันที่นายสนอง พงษ์ไทย ขับ มิใช่เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยในคดีนนี้นั้น ผูกพันโจทก์ในคดีนี้หรือไม่ โจทก์โจทก์อุทธรณ์ว่า คำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีดังกล่าวผูกพันระหว่างระหว่างนางสะเวียง พงษ์ไทย กับนายเดชา พงษ์ไทย(โจทก์ในคดีเดิม) ฝ่ายหนึ่งกับโจทก์และจำเลย (จำเลยในคดีเดิม) อีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น แต่ในระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนี้ โจทก์ย่อมสามารถนำสืบพยานหลักฐานให้เห็นว่าจำเลยกระทำโดยประมาทได้ ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นข้อพิพาทโดยตรงในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 22122/2530ของศาลแพ่ง กับคดีนี้เป็นอย่างเดียวกันว่า จำเลยเป็นฝ่ายขับรถยนต์โดยประมาทหรือไม่ แม้ว่าในคดีดังกล่าว โจทก์กับจำเลยในคดีนี้ต่างเป็นจำเลยด้วยกันก็ตาม ก็ต้องถือว่าโจทก์เป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลในคดีนี้ต่างเป็นจำเลยด้วยกันก็ตาม ก็ต้องถือว่าโจทก์เป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลในคดีดังกล่าวด้วย คำพิพากษาในคดีดังกล่าวจึงมีผลผูกพันโจทก์ในคดีนี้ว่า จำเลยไม่ได้ขับรถยต์โดยประมาทดังข้ออ้างในฟ้องของโจทก์ โจทก์จะโต้แย้งว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาทอีกหาได้ไม่ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 1485/2527 ระหว่างบริษัท ขนส่ง จำกัด โจทก์ นายประเสริฐ ชุ่มอุ่ม กับพวก จำเลย)ที่โจทก์อ้างในอุทธรณ์ว่า หลังจากเกิดเหตุแล้ว จำเลยได้ลงลายมือชื่อในบันทึกให้ไว้แก่โจทก์ว่า จำเลยยินยอมรับผิดในเหตุประมาทนี้ โดยให้โจทก์เจรจาตกลงค่าเสียหายกับคู่กรณีและให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายไปก่อนแล้วหักเงินเดือนของจำเลยชดใช้ต่อไป ดังนั้น โจทก์จึงยังคงมีสิทธิฟ้องร้องค่าเสียหายจากจำเลยในข้อหาผิดสัญญาจ้างแรงงานได้อีกตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 3886/2531 ระหว่าง นายประสิทธิ์ เจริญทรัพย์โจทก์ การรถไฟแห่งประเทศทย จำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวโจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้อง และมิได้ถือเอาบันทึกยินยอมใช้ค่าเสียหายของจำเลยดังกล่าวมาเป็นหลักแห่งข้อหาในคดีนี้แต่อย่างใดโจทก์เพิ่มยกขึ้นมาอ้างในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นข้อเท็จจริงนอกฟ้องนอกประเด็นไม่อาจนำมาวินิจฉัยเพื่อให้ผลแห่งคดีนี้เป็นไปตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 3886/2531 ที่โจทก์อ้างได้ ทั้งข้อเท็จจริงไม่ตรงกัน ที่ศาลแรรงานกลางพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน