คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2237/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ให้สินสอดโดยทำสัญญากู้ให้ แม้เงินที่ลงไว้ในสัญญากู้จะไม่ใช่สินสอดตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1436 เพราะเป็นการแต่งงานกันตามประเพณีโดยคู่กรณีไม่ถือเอาการจดทะเบียนสมรสเป็นสำคัญก็ตาม แต่เมื่อจำเลยตกลงจะให้เงินตอบแทนแก่โจทก์ในการที่บุตรสาวของโจทก์จะแต่งงานอยู่กินกับบุตรชายของจำเลย โดยทำสัญญากู้ให้ไว้ดังกล่าว เมื่อได้มีการแต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยากันแล้ว จำเลยก็ต้องชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสู่ขอบุตรสาวโจทก์เพื่อให้สมรสกับบุตรชายของจำเลย ในวันทำพิธีแต่งงาน จำเลยนำเงินค่าสินสอดที่ตกลงกันไว้ว่าเป็นจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาทมาชำระให้โจทก์ ๒,๐๐๐ บาทก่อน อีก ๘,๐๐๐ บาท อ้างว่ายังไม่มีขอผลัดไปชำระภายหลังโดยทำสัญญากู้มอบให้โจทก์ไว้ ครบกำหนด ทวงถามแล้ว จำเลยไม่ชำระ ขอศาลบังคับให้จำเลยชำระเงิน ๘,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความแทนโจทก์ด้วย
จำเลยให้การว่า บุตรชายจำเลยและบุตรสาวโจทก์แต่งงานกันตามประเพณีโดยฝ่ายโจทก์เรียกของหมั้นเป็นทองคำหนัก ๑๒ บาท เข็มขัดนาก ๑ เส้นหนัก ๙ บาท เงินสินสอด ๔๐ บาท และเงินกองทุนให้แก่คู่บ่าวสาว ๑๒,๐๐๐ บาท โดยโจทก์กับภรรยาให้คำมั่นว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์กับภรรยาให้คู่บ่าวสาว ๑ ใน ๓ ภายใน ๓ ปี และจะจัดให้ทั้งคู่จดทะเบียนสมรสภายหลังแต่งงานแล้ว วันแต่งงานจำเลยได้นำทองหมั้นและเงินสินสอดไปให้โจทก์และภรรยาครบถ้วน ส่วนเงินกองทุนมีไปให้เพียง ๔,๐๐๐ บาท อีก ๘,๐๐๐ บาทได้ทำสัญญากู้ให้โจทก์ยึดถือไว้ตั้งแต่คืนวันสุกดิบ ภายหลังแต่งงานแล้ว บุตรสาวโจทก์ไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรส ต่อมาโจทก์กับภรรยากลับด่าว่าและขับไล่บุตรจำเลยออกจากบ้าน บุตรสาวโจทก์ก็ไม่ยอมมาอยู่กินร่วมกับบุตรจำเลยที่บ้านจำเลย โจทก์ทวงถามเงินตามสัญญากู้และร้องเรียนต่อนายอำเภอ จำเลยต่อสู้ว่าเป็นเงินกองทุน จะยอมให้ต่อเมื่อโจทก์จัดการให้บุตรโจทก์ไปอยู่กินและจดทะเบียนสมรสกับบุตรจำเลย บุตรโจทก์ไม่ยอม จำเลยจึงไม่จำต้องจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความแทนจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า การแต่งงานระหว่างบุตรโจทก์จำเลยต่างฝ่ายต่างมิได้ถือเอาการจดทะเบียนสมรสเป็นสำคัญมาแต่แรก แม้จะรับฟังได้ว่า เงินตามสัญญากู้เป็นเงินสินสอด แต่เมื่อมิได้มีการจดทะเบียนสมรสโจทก์ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องเอากับจำเลยได้ และกรณีไม่ถือว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ พิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ ๑๕๐ บาท แทนจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วฟังว่า สัญญากู้เกิดจากเงินสินสอดที่ค้างชำระ และเมื่อคู่กรณีไม่ถือเอาการจดทะเบียนสมรสกันเป็นสาระสำคัญ เมื่อบุตรของทั้งสองฝ่ายได้แต่งงานอยู่กินฉันสามีภริยากัน ก็ต้องชำระค่าสินสอดตามที่ตกลงกันไว้ สัญญากู้ใช้บังคับได้ พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ ๘,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๔๐๐ บาท
จำเลยฎีกาว่าเป็นเงินกองทุน และจำเลยไม่จำต้องชำระให้โจทก์
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ในการสู่ขอบุตรสาวโจทก์ให้แก่บุตรชายจำเลย จำเลยได้สัญญากู้ไว้ให้โจทก์จริง บุตรจำเลยและบุตรโจทก์แต่งงานกันตามประเพณี และอยู่กินด้วยกันที่บ้านโจทก์เป็นเวลา ๑ ปีเศษ มีบุตรด้วยกัน ๑ คน โดยต่างฝ่ายต่างมิได้ถือเอาการจดทะเบียนสมรสเป็นสำคัญมาแต่แรก คดีฟังได้ว่า สัญญากู้เกิดจากเงินสินสอดที่ค้างชำระกันอยู่มิใช่เงินกองทุนดังจำเลยต่อสู้ แม้เงินที่ลงไว้ในสัญญากู้จะไม่ใช่สินสอดตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๓๖ เพราะเป็นการแต่งงานกันตามประเพณีโดยคู่กรณีไม่ถือเอาการจดทะเบียนสมรสเป็นสำคัญ แต่จำเลยก็ตกลงจะให้เงินตอบแทนแก่โจทก์ในการที่บุตรสาวของโจทก์จะแต่งงานอยู่กินกับบุตรชายของจำเลย โดยทำสัญญากู้ให้ไว้ เมื่อได้มีการแต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยากันแล้ว จำเลยก็ต้องชำระเงินดังกล่าวตามที่ตกลงไว้ให้โจทก์ สัญญากู้จึงใช้บังคับได้
พิพากษายืน.

Share