คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2231/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์บรรยายฟ้องอ้างเอกสารหมายเลข 3 ซึ่งที่ถูกเป็นเอกสารหมายเลข 2 นั้น ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยถึงเอกสารฉบับที่ถูกต้องได้และเมื่อได้ความตามคำฟ้องว่าสิทธิของโจทก์ในที่ดินตามฟ้องเกิดจากการเช่านาซึ่งมีกฎหมายว่าด้วยการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมคุ้มครอง จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยเข้าไปทำถนนในที่ดินซึ่งโจทก์เช่า ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายทำนาตามปกติไม่ได้ คำฟ้องนั้นจึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว
เอกสารท้ายคำฟ้องทุกฉบับย่อมเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง และการวินิจฉัยว่าคำฟ้องใดเคลือบคลุมหรือไม่ ต้องพิจารณาคำฟ้องรวมกันทั้งฉบับ

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสิบเอ็ดฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับบุคคลอื่นเพื่อทำนา โดยแบ่งแยกการเช่าตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง จำเลยขุดดินทำถนนผ่านที่ดินดังกล่าวเป็นการกั้นทางระบายน้ำที่จะนำน้ำเข้าทำนา อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ขาดรายได้เพราะทำนาตามปกติไม่ได้ เฉลี่ยเดือนละ ๒๘,๐๐๐ บาท ขอให้จำเลยรื้อถนนหรือคันดินออกไป และทำที่ดินให้อยู่ในสภาพปกติ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๒๘,๐๐๐ บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าว่าจำเลยจะรื้อคันดินออก
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ไม่บรรยายให้เข้าใจว่าโจทก์แต่ละคนมีสิทธิในการเช่านาพิพาทอย่างไร เช่ามาจากใคร เช่าจำนวนเนื้อที่เท่าใด เช่าตรงส่วนไหนของที่ดินตามฟ้องอันจะทำให้โจทก์มีสิทธิในนาพิพาทและมีอำนาจฟ้องอย่างไร จำเลย ไม่อาจเข้าใจและสามารถต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง เป็นฟ้องเคลือบคลุม ผู้ให้เช่าได้บอกเลิกการเช่าแล้วโดยชอบ และโจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คำฟ้องโจทก์เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสิบเอ็ดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๑๐ ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วจึงไม่เคลือบคลุม ส่วนคำฟ้องของโจทก์ที่ ๑๑ ซึ่งไม่ปรากฏในแผนที่สังเขปท้ายฟ้องถึงอาณาเขตที่นาและจำนวนเนื้อที่ที่โจทก์ที่ ๑๑ ครอบครองเท่านั้น เป็นฟ้องเคลือบคลุม พิพากษาแก้เป็นว่าให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาในส่วนคดีของโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๑๐ ใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เอกสารท้ายฟ้องทุกฉบับ ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องการที่โจทก์บรรยายฟ้องอ้างเอกสารหมายเลข ๓ ซึ่งที่ถูกเป็นเอกสารหมายเลข ๒ นั้น ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยถึงเอกสารฉบับที่ถูกต้องได้ หาขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ ดังที่จำเลยฎีกาไม่ เพราะการวินิจฉัยว่าคำฟ้องใดเคลือบคลุมหรือไม่ ต้องพิจารณาคำฟ้องรวมกันทั้งฉบับ ได้ความตามคำฟ้องว่าสิทธิของโจทก์แต่ละคนในที่ดินตามฟ้องเกิดจากการเช่านาซึ่งมีพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔ คุ้มครอง จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยเข้าไปทำถนนในที่ดินซึ่งโจทก์เช่า ทำให้โจทก์ทำนาตามปกติไม่ได้ ได้รับความเสียหาย ศาลฎีกาเห็นว่า เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ แล้วไม่เคลือบคลุมดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share