แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยเข้าไปอยู่ในบ้านของผู้เสียหายในยามวิกาลโดยผู้เสียหายมิได้อนุญาตน. น้องสะใภ้ของผู้เสียหายซึ่งผู้เสียหายใช้ให้ไปเฝ้าบ้านแทนได้พบจำเลยอยู่ในบ้านของผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายกลับมาบ้านได้สำรวจทรัพย์สินปรากฏว่าข้าวของบนบ้านถูกรื้อกระจุยกระจายกระปุกออมสินหายไป1อันแตก1อันในกระปุกออมสินเก็บเงินไว้ประมาณ1,500บาทผู้เสียหายจึงไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนจำเลยหลบหนีไปต่อมาประมาณ2เดือนจำเลยกลับมาและขอชดใช้เงิน1,500บาทแต่ผู้เสียหายไม่ยอมรับดังนี้แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานว่าจำเลยเป็นผู้ลักทรัพย์แต่เมื่อมีพยานแวดล้อมกรณีของโจทก์ที่นำสืบเชื่อได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ศาลก็ลงโทษจำเลยได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2525 มาตรา 11 ขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 1,500 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(8) พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 11 จำคุก 1 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน1,500 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในเบื้องต้นคดีมีปัญหาว่า จำเลยเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายเพราะผู้เสียหายได้ขอให้ไปเฝ้าบ้านหรือไม่เห็นว่าผู้เสียหายเบิกความว่า ได้ให้นางน้อยน้องสะใภ้ไปเฝ้าบ้านมิได้ให้จำเลยไปนอนเฝ้าบ้านผู้เสียหาย นางน้อยและจำเลยต่างก็เป็นญาติกัน พยานโจทก์ต่างก็ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองมาก่อน ไม่มีเหตุที่จะระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าผู้เสียหายมิได้ขอให้จำเลยไปนอนเผ้าบ้านให้ การที่จำเลยเข้าไปอยู่ในบ้านของผู้เสียหายในยามวิกาลจึงเป็นการบุกรุก ปัญหาวินิจฉัยต่อไปมีว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหายหรือไม่ ผู้เสียหายเบิกความว่า เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2526 เวลา 18นาฬิกา กลับมาจากธุระถึงบ้าน นางน้อยก็บอกว่าจำเลยขึ้นไปบนบ้านรื้อของบนบ้านกระจัดกระจาย ผู้เสียหายขึ้นไปสำรวจทรัพย์สินกระปุกออมสินหายไป 1 อัน แตก 1 อัน ในกระปุกออมสินเก็บเงินไว้ประมาณ 1,500 บาท ผู้เสียหายจึงให้นายแดงบิดาไปแจ้งนายหนูผู้ใหญ่บ้าน ต่อมาผู้ใหญ่บ้านให้ผู้เสียหายไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน ผู้ใหญ่บ้านได้เบิกความว่าตามหาจำเลยไม่พบ จำเลยหลบหนีไป ต่อมาประมาณ 2 เดือน จำเลยกลับมาและขอชดใช้เงิน 1,500 บาทแต่ผู้เสียหายไม่ยอมรับ เห็นว่าแม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานเห็นว่าจำเลยเป็นผู้ลักทรัพย์และไม่ได้เงินของกลางก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้บุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายในยามวิกาลขณะที่เจ้าของบ้านไม่อยู่ นายหนูผู้ใหญ่บ้านก็ได้บอกจำเลยไม่ให้หลบหนีไปไหน ให้รอผู้เสียหายเจ้าของบ้านกลับมาก่อน จำเลยก็หนีไปในวันรุ่งขึ้น ต่อมาอีก 2 เดือนกลับมาได้ขอชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายเช่นนี้ ผู้เสียหายกับจำเลยต่างก็เป็นญาติกัน ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันที่จะปรักปรำจำเลย พยานแวดล้อมกรณีเหล่านี้เชื่อได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน”.