คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3925/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 จดทะเบียนรับซื้อที่ดินจากผู้ที่ปลอมชื่อเป็นเจ้าของที่ดินซึ่งลักโฉนดที่ดินมาจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริง แล้วจดทะเบียนจำนองที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ 2 ดังนี้ จำเลยที่ 1 ไม่ได้ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์หรือผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ นิติกรรมซื้อขายเกิดจากการทุจริตโดยโจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอมด้วย เป็นการสำคัญผิดในตัวบุคคล อันเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 119 ถือเสมือนว่าไม่มีนิติกรรมการโอนเกิดขึ้น แม้การซื้อขายจะทำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และจำเลยที่ 1 ได้เสียค่าตอบแทนโดยสุจริต จำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ โจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอนขายที่ดินดังกล่าวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินรวม ๘ โฉนด ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอรังวัดรวมโฉนดทั้ง ๘ โฉนดเป็นโฉนดเดียว เจ้าพนักงานจึงออกโฉนดให้แก่โจทก์ และโจทก์แจ้งให้เจ้าพนักงานทราบว่าจะกระทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวด้วยตนเอง ภายหลังได้มีชาย ๒ คนมาขอซื้อที่ดินดังกล่าว และระหว่างที่มีการขอดูโฉนดที่ดินนั้นได้มีการสับเปลี่ยนโฉนดที่แท้จริงไป และคืนฉบับปลอมให้แก่โจทก์ โดยที่โจทก์ไม่ทราบ ต่อมามีผู้หวังดีโทรศัพท์มาบอกโจทก์จึงได้ไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดิน พบว่าเป็นโฉนดปลอม และมีผู้แอบอ้างเป็นโจทก์โอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ได้จำนองไว้เป็นประกันเงินกู้แก่จำเลยที่ ๒ โจทก์จึงไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน และแจ้งด้วยว่าได้มีคนร้ายลักโฉนดของโจทก์ไป โจทก์ถือว่าที่ดินดังกล่าวยังเป็นของโจทก์ มีพฤติการณ์ว่าจำเลยที่ ๑ มีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการทุจริต จำเลยที่ ๒ ไม่มีสิทธิตามสัญญาจำนองเป็นประกัน ส่วนจำเลยที่ ๓ – ๖ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดิน ก็มีส่วนรู้เห็นเป็นใจหรือกระทำโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่อต่อหน้าที่ เป็นการกระทำของตัวแทนภายในขอบเขตแห่งวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ ๗ กรมที่ดิน จึงต้องร่วมกันรับผิดขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการขายและจำนอง หากเพิกถอนไม่ได้ ให้ชดใช้ค่าเสียหายทั้งสิ้น ๑๖,๘๙๖,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ ถึง ๗ ให้การปฏิเสธว่าไม่ต้องรับผิดตามที่โจทก์ฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างผู้ที่อ้างว่าเป็นโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และนิติกรรมจำนองที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ให้จำเลยที่ ๗ แก้สารบัญโฉนดที่ดินทั้งฉบับของโจทก์และของสำนักงานที่ดินให้คืนสภาพเดิม
จำเลยที่ ๑, ๓, ๖ อุทธรณ์ แต่จำเลยที่ ๓, ๖ ทิ้งอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ ๓, ๖ และพิจารณาคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ต่อไป
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ก่อนที่จะมีการจดทะเบียนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๑ ได้มีชาวอินเดียทำทีมาติดต่อขอดูโฉนดแล้วฉวยโอกาสลักโฉนดที่ดินพิพาท และมอบโฉนดปลอมให้โจทก์ หลังจากนั้นได้มอบให้ผู้หญิงคนหนึ่งอ้างตัวว่าเป็นโจทก์จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์หรือผู้มีอำนาจกระทำแทนโจทก์ นิติกรรมซื้อขายเกิดจากการทุจริต โดยโจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอมด้วย เป็นการสำคัญผิดในตัวบุคคลอันเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม การโอนขายที่ดินจึงเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๙ ถือเสมือนว่าไม่มีนิติกรรมการโอนเกิดขึ้น ดังนั้นแม้การซื้อขายจะทำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และจำเลยที่ ๑ ได้เสียค่าตอบแทนโดยสุจริต จำเลยที่ ๑ ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทยังเป็นของโจทก์อยู่โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอนขายที่ดินพิพาทระหว่างผู้ที่อ้างว่าเป็นตัวโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้
พิพากษายืน

Share