คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2224/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์ซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนได้ซื้อที่ดินที่ตน รับจำนองไว้จากลูกค้าจากการขายทอดตลาดในราคา 3,500,000 บาท โดยทราบดีว่าต้องขายต่อ และหลังจากนั้นเพียง 8 วันโจทก์ได้ขายต่อให้บริษัทในเครือในราคาถึง 7,000,000 บาท ถือได้ว่าโจทก์ขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร เข้าลักษณะเป็นการประกอบการค้าตามประเภทการค้า 11 การค้าอสังหาริมทรัพย์ แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าตามป.รัษฎากร โจทก์จึงต้องนำรายรับมาเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ3.5 ของรายรับ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ให้โจทก์เสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 11 การค้าอสังหาริมทรัพย์ แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าตามประมวลรัษฏากร
จำเลยให้การว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคระกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า บริษัทโจทก์ได้รับอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจประเภทบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์และเนื่องจากลูกหนี้ของโจทก์ไม่ชำระหนี้โจทก์จึงได้ฟ้องบังคับจำนองและนำที่ดินออกขายทอดตลาด โดยโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากการขายทอดตลาดของศาลได้ในราคา 3,500,000 บาท เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2521 ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.7 ต่อมาวันที่29 เดือนเดียวกัน โจทก์ได้ขายต่อให้กับบริษัทสหสินพัฒนาการ จำกัด ในราคา 7,000,000 บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.8และโจทก์ได้เสียภาษีการค้าไว้ในอัตราร้อยละ 2.5 ของกำไรที่ได้รับแต่เจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าโจทก์ทำการค้าอสังหาริมทรัพย์ต้องเสียภาษีการค้าร้อยละ 3.5 ของภาษีก่อนหักรายจ่ายตามบัญชีอัตราภาษีการค้า ประเภทการค้า 11 การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร จึงได้แจ้งการประเมินภาษีการค้าไปยังโจทก์โจทก์ไม่เห็นชอบด้วย ได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์
คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์จะต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 11 การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรใช่หรือไม่ข้อเท็จจริงได้ตามคำฟ้องของโจทก์เองว่า มีกฎหมายบัญญัติบังคับห้ามมิให้โจทก์ซื้อหรือมีที่ดินหากซื้อที่ดินมากฎหมายบังคับให้โจทก์ต้องขายไปในเวลาอันสมควรแสดงว่าการซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดของโจทก์ โจทก์เองก็ทราบดีว่าเป็นการซื้อเพื่อขายต่อ และการซื้อเพื่อขายต่อหากไม่ใช่เพื่อทางค้าหรือหากำไร โจทก์ก็คงจะไม่ลงทุนซื้อด้วยเงินจำนวนมากเช่นนั้น ดังนั้นการขายที่ดินที่ซื้อจากการขายทอดตลาดในเวลาต่อมาของโจทก์จึงเชื่อได้ว่าเป็นทางค้าหรือหากำไร เข้าลักษณะเป็นรายรับตามประเภทการค้า 11 การค้าอสังหาริมทรัพย์แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าตามประมวลรัษฏากรโจทก์จึงต้องนำรายรับมาเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 3.5 ของรายรับ ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าโจทก์จำเป็นต้องเข้าสู้ราคาซื้อที่ดินที่โจทก์รับจำนองไว้จากลูกค้าในการขายทอดตลาดของศาลเสียเอง ก็เพราะจำต้องปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของโจทก์ เพื่อให้ราคาที่ดินที่ขายทอดตลาดได้ราคาสูงคุ้มเงินและดอกเบี้ยนั้น โจทก์อ้างว่าทำให้โจทก์ต้องสละสิทธิในการบังคับจากทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ เหตุผลของโจทก์แสดงอยู่ในตัวเองว่าโจทก์สามารถบังคับเอาทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ได้แต่โจทก์กลับไม่ใช่สิทธินั้น โจทก์กลับเข้าประมูลสู้ราคาในการขายทอดตลาดของศาลเสียเอง โจทก์จึงหาชอบที่จะอ้างความจำเป็นแต่ประการใดไม่ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าหลังจากซื้อที่ดินดังกล่าวแล้ว มีกฎหมายบังคับให้โจทก์ขายที่ดินภายใน3 ปี โจทก์จึงได้ขายให้กับบริษัทสหสินพัฒนาการ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัทโจทก์นั่นเอง แม้ข้อเท็จจริงจะเป็นดังโจทก์ฎีกา แต่จากพฤติการณ์ที่โจทก์ทซื้อที่ดินในราคา 3,500,000 บาทแล้วหลังจากนั้นเพียง 8 วันโจทก์ก็ขายไปในราคาถึง 7,000,000 บาทโจทก์ย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการขายของโจทก์เป็นทางค้าหรือหากำไร แม้โจทก์จะขายให้กับบริษัทในเครือของโจทก์ก็ตาม นอกจากนี้การที่โจทก์กล่าวอ้างตลอดมาว่าบริษัทโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ค้าอสังหาริมทรัพย์ ทั้ง ๆ ที่ วัตถุประสงค์ของบริษัทโจทก์ข้อ 3(4)ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 เป็นเรื่องจัดหาที่ดินมาจำหน่ายแก่ประชาชนโดยตรง และอ้างว่าโจทก์ขายที่ดินเพียงครั้งเดียวเพื่อให้ตรงกับคำพิพากษาฎีกาที่ 3167/2524 ระหว่าง บริษัทคริสเตียนและนีลเส็น (ไทย) จำกัด โจทก์ กรมสรรพากร จำเลย ซึ่งโจทก์ได้อ้างมาในฎีกา แต่คำพิพากษาฎีกาดังกล่าวก็หาได้พิเคราะห์แต่เพียงวัตถุประสงค์ตามหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัทและจำนวนครั้งที่ขายแต่เพียงประการเดียวไม่ แต่ได้ดูพฤติการณ์ทั่ว ๆ ไปประกอบด้วยข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ตรบกับคดีนี้ สรุปแล้วศาลฎีกาเห็นว่าแม้ดจทก์จะเสียภาษีการค้ามาแล้วในอัตราร้อยละ2.5 ของกำไรที่ได้รับแต่ก็ไม่ถูกต้อง เพราะที่ถูกโจทก์จะต้องเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 3.5 ของรายรับตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 11 การค้าอสังหาริมทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share