คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2221/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เริ่มรับราชการเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2487 และลาออกจากราชการเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2500 รวมเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญ 13 ปี 7 เดือน 17 วัน ต่อมาโจทก์เข้ารับราชการอีกเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2504 แล้วลาออกจากราชการเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2526 รวมเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญครั้งหลัง 26 ปี 10 เดือน 3 วัน ดังนี้ เมื่อกรณีของโจทก์ปรากฏว่าโจทก์ลาออกจากราชการครั้งก่อนโดยมีสิทธิได้รับบำเหน็จ จึงถือได้ว่าโจทก์ออกจากราชการโดยได้รับหรือมีสิทธิได้รับบำเหน็จหรือบำนาญตามมาตรา 30 (3) แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ฯ แล้ว โจทก์จึงจะนำเวลาราชการตอนก่อนมารวมกับเวลาราชการครั้งหลังเพื่อคำนวณบำเหน็จบำนาญหาได้ไม่เพราะต้องห้ามตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ฯ มาตรา 30

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เริ่มรับราชการเป็นข้าราชการสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๔๘๗ และลาออกจากราชการตั้งแต่วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๐๐ รวมเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญ ๑๓ ปี ๗ เดือน ๑๗ วัน การลาออกครั้งนี้โจทก์มีสิทธิได้รับบำเหน็จตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญ ฯ มาตรา ๑๗ ต่อมา โจทก์เข้ารับราชการในกรมอัยการ เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๐๔ แล้วลาออกจากราชการเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๒๖ รวมเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญครั้งหลัง ๒๖ ปี ๑๐ เดือน ๓ วัน ขณะออกจากราชการโจทก์ได้รับเงินเดือน เดือนละ ๑๕,๕๗๕ บาท โจทก์ได้ขอรับบำนาญต่อกรมอัยการโดยระบุว่ามีเวลาราชการรวม ๔๐ ปี ๕ เดือน ๒๐ วัน เมื่อคำนวณบำนาญแล้วโจทก์จะได้รับบำนาญเดือนละ ๑๒,๔๖๐ บาท ต่อมาจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่๑ ได้สั่งจ่ายบำนาญเหตุรับราชการนานให้โจทก์เป็นเงินเดือนละ ๘,๔๑๐.๕๐ บาทโดยจำเลยทั้งสองเห็นว่าโจทก์มีเวลารับราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญรวมทั้งสิ้น ๒๖ ปี ๑๐ เดือนเศษ ปัดเป็น ๒๗ ปี เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบำนาญน้อยกว่าสิทธิที่โจทก์จะได้รับตามกฎหมายเป็นเงินเดือนละ ๔,๐๔๙.๕๐ บาท ต่อมาโจทก์ได้เข้ารับราชการในกรมอัยการอีกเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๒๖ จึงบอกเลิกรับบำนาญตั้งแต่วันดังกล่าว ในช่วงเวลาที่โจทก์ลาออกเป็นเวลา ๓ เดือน ๘ วันโจทก์ได้รับบำนาญน้อยไป ๑๓,๑๙๓.๕๐ บาท ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าโจทก์มีสิทธินับเวลาราชการตั้งแต่วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๔๘๗ ถึงวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๐๐ ครั้งแรกมารวมกับเวลาราชการครั้งหลังตั้งแต่วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๐๔ ถึงวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๖ ได้ และบังคับจำเลยทั้งสองดำเนินการและสั่งการเรื่องราวขอรับบำนาญของโจทก์ว่ามีเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญรวมทั้งสิ้น ๔๐ ปี ๕ เดือนเศษ ให้จำเลยสั่งจ่ายบำนาญเพิ่มให้โจทก์อีกเดือนละ ๔,๐๔๙.๕๐ บาท รวมเวลา ๓ เดือน ๘ วัน เป็นเงิน ๑๓,๑๙๓.๕๐ บาท
จำเลยให้การว่า โจทก์มีเวลารับราชการ ๒ ตอน สำหรับเวลาราชการตอนแรกนั้นขณะโจทก์ลาออกมีสิทธิได้รับบำเหน็จตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ฯ มาตรา ๑๗ ต่อมาโจทก์เข้ารับราชการใหม่แล้วลาออกอีกตอนหนึ่งมีเวลาสำหรับคำนวณในตอนหลัง ๒๖ ปี ๑๐ เดือน ๓ วัน โจทก์ได้ยื่นเรื่องราวขอรับบำนาญโดยนับเวลาราชการทั้งสองตอนเข้าด้วยกันเป็น ๔๐ ปี ๕ เดือน ๒๐ วันจำเลยสั่งจ่ายบำนาญเหตุรับราชการนานแก่โจทก์ โดยนับเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญรวมทั้งสิ้น ๒๖ ปี ๑๐ เดือนเศษ ปัดขึ้นเป็น ๒๗ ปี เป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว เนื่องจากโจทก์ไม่มีสิทธินับเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญโดยนำเวลาราชการตอนแรกมานับรวมกับเวลาราชการตอนหลัง เพราะต้องห้ามตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ฯ มาตรา ๓๐ ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ลาออกจากราชการตอนแรกโดยมีสิทธิได้รับบำเหน็จตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญบำนาญข้าราชการ ฯ มาตรา ๓๐ (๓) จึงนำเวลาราชการตอนแรกมารวมกับเวลาราชการตอนหลังของโจทก์ไม่ได้เพราะต้องห้ามตามมาตรา ๓๐ จำเลยทั้งสองสั่งจ่ายบำนาญให้โจทก์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยไม่นำเวลาราชการตอนแรกมานับรวมเวลาราชการตอนหลังของโจทก์เพื่อคำนวณบำเหน็จบำนาญเป็นการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองนับเวลาราชการของโจทก์ทั้งสองตอนสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญให้แก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองสั่งจ่ายบำนาญเพิ่มแก่โจทก์เดือนละ ๔,๐๔๙.๕๐ บาท รวมเวลา ๓ เดือน ๘ วัน เป็นเงิน๑๓,๑๙๓.๕๐ บาท
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๔๘๗ โจทก์เริ่มรับราชการ…..และได้ลาออกจากราชการตั้งแต่วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๐๐ รวมเวลาราชการ ๑๓ ปี ๗ เดือน กับมีเวลาราชการทวีคูณอีก ๑๗ วัน รวมเวลาราชการตอนก่อน ๑๓ ปี ๗ เดือน ๑๗ วัน ต่อมาเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๐๔ โจทก์เข้ารับราชการตำแหน่งอัยการผู้ช่วยแล้วลาออกจากราชการเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๒๖ มีเวลาราชการที่รับราชการครั้งใหม่ ๒๑ ปี ๕ เดือน ๒๑ วัน กับมีเวลาราชการทวีคูณอีก ๕ ปี ๔ เดือน ๑๒ วัน รวมเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญครั้งใหม่ ๒๖ ปี ๑๐ เดือน ๓ วัน มีปัญหาพิจารณาตามฎีกาของจำเลยว่าจะนำเวลาราชการตอนก่อนของโจทก์จำนวน ๑๓ ปี ๗ เดือน ๑๗ วันมารวมกับเวลาราชการครั้งใหม่เพื่อคำนวณบำเหน็จบำนาญได้หรือไม่……..ศาลฎีกาเห็นว่า จากบทบัญญัติตามมาตราต่าง ๆ เห็นได้ว่าคำว่า ออกจากราชการในพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ หมายถึงการที่ข้าราชการพ้นจากราชการนั่นเอง ซึ่งย่อมหมายความรวมถึงการพ้นจากราชการเพราะลาออกด้วยกรณีของโจทก์ปรากฏจากคำฟ้องของโจทก์ว่า โจทก์ลาออกจากราชการครั้งก่อนโดยมีสิทธิได้รับบำเหน็จ จึงถือได้ว่าโจทก์ออกจากราชการโดยได้รับหรือมีสิทธิได้รับบำเหน็จหรือบำนาญตามมาตรา ๓๐ (๓) แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ แล้ว ดังนั้น เมื่อโจทก์เข้ารับราชการใหม่ จึงต้องคิดเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญเฉพาะการรับราชการครั้งใหม่เท่านั้น จะนำเวลาราชการตอนก่อนมารวมกับเวลาราชการครั้งใหม่หาได้ไม่ เพราะต้องห้ามตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๐ จำเลยทั้งสองคิดเวลาราชการสำหรับคำนวณบำนาญเฉพาะการรับราชการครั้งใหม่ให้โจทก์ชอบแล้ว
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share