คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2220/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ประจักษ์พยานโจทก์ที่นำสืบทั้งสองปากเป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมนั้นมิได้แต่งเครื่องแบบ เหตุที่เข้าจับกุมจำเลยก็สืบเนื่องจากเหตุวิวาทส่วนตัวระหว่างจำเลยกับผู้จับกุมถึงขั้นลงมือทำร้ายกันก่อนที่พยานโจทก์อ้างว่าได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ จึงเห็นได้ชัดว่าลักษณะการปฏิบัติหน้าที่ของพยานผู้จับกุมเป็นผลสืบเนื่องจากการวิวาทส่วนตัวน้ำหนักความเป็นกลางของพยานผู้จับกุมจึงน้อย ไม่อาจจะรับฟังเชื่อถือได้มั่นคง ดังนี้ เมื่อพิเคราะห์ถึงข้อเท็จจริงที่มีประจักษ์พยานบุคคลอื่นซึ่งเป็นประชาชนแต่โจทก์หาได้นำสืบประกอบเพื่อสนับสนุนให้คำเบิกความของพยานผู้จับกุมมีน้ำหนักดีขึ้นแต่ประการใดไม่ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบจึงไม่พอรับฟังลงโทษจำเลยโดยปราศจากข้อสงสัย ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีอาวุธปืนสั้นรีวอลเวอร์ ขนาด .357 มีเครื่องหมายทะเบียนและมีกระสุนปืนรีวอลเวอร์ ขนาด .357 แมกนั่ม จำนวน 11 นัด ไว้ในครอบครองของจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปตามทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานและไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน หลังจากที่จำเลยกระทำผิดดังกล่าวแล้วสิบตำรวจโทกมล ดำรงชีพ พบเห็นการกระทำผิดของจำเลย ได้แสดงตัวและขอตรวจค้นจับกุม จำเลยต่อสู้ขัดขวางไม่ยินยอมให้ตรวจค้นจับกุมและใช้กำลังประทุษร้าย ใช้เท้าถีบสิบตำรวจโทกมลอันเป็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72 และ 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 138, 371

จำเลยให้การรับสารภาพข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืน แต่ปฏิเสธข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคแรก, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง, 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ฐานต่อสู้ขัดขวาง จำคุก 6 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพเฉพาะความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 3 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำคุก 3 เดือน รวมจำคุก 12 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ปรับจำเลย 1,000 บาท และความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายให้ปรับจำเลย 1,000 บาท รวมสองกระทงปรับ 2,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้ยกฟ้องในส่วนความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกาแต่เพียงว่าพยานหลักฐานโจทก์พอฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงแห่งคดีที่ปรากฏประจักษ์พยานโจทก์ที่นำสืบทั้งสองปากซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมนั้นมิได้แต่เครื่องแบบ เหตุที่เข้าจับกุมจำเลยก็สืบเนื่องจากเหตุวิวาทส่วนตัวระหว่างจำเลยกับผู้จับกุมถึงขั้นลงมือทำร้ายกันก่อนที่พยานโจทก์อ้างว่าได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ดังนี้ จึงเห็นได้ชัดว่าลักษณะการปฏิบัติหน้าที่ของพยานผู้จับกุมเป็นผลสืบเนื่องจากการวิวาทส่วนตัวน้ำหนักความเป็นกลางของพยานผู้จับกุมจึงน้อย ไม่อาจจะรับฟังเชื่อถือได้มั่นคง ดังนี้ เมื่อพิเคราะห์ถึงข้อเท็จจริงที่มีประจักษ์พยานบุคคลอื่นซึ่งเป็นประชาชน แต่โจทก์หาได้นำสืบประกอบเพื่อสนับสนุนให้คำเบิกความของพยานผู้จับกุมมีน้ำหนักดีขึ้นแต่ประการใดไม่ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบจึงไม่พอรับฟังลงโทษจำเลยโดยปราศจากข้อสงสัยต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาดังกล่าวนี้ถูกต้องแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share