แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินบ้านมือเปล่านั้นเมื่อทางพิจารณาไม่มีฝ่ายใดนำสืบว่า ที่บ้านนั้น เจ้าของได้มีสิทธิในที่ดินตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ 42 มาแล้ว ก็ต้องถือว่าเจ้าของมีสิทธิครอบครองมือเปล่าธรรมดาเช่นเดียวกับที่นามือเปล่า เท่านั้น (อ้างฎีกาที่ 5/2495)
ขายที่บ้านมือเปล่า โดยทำหนังสือสัญญากันเอง แล้วมอบที่ดินให้ผู้ซื้อครอบครองแล้ว อันถือได้ว่าผู้ขายได้มีเจตนาสละการครอบครองให้เขาแล้ว ผู้ขายย่อมไม่มีสิทธิฟ้องเรียกที่ดินนั้นคืน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณ 3 ปีมานี้ โจทก์ได้ยืมเงินจำเลยไป1,000 บาท ได้มอบที่บ้านและนา ให้จำเลยเก็บใช้ผลอาสินและทำนาต่างดอกเบี้ยตลอดมา จึงขอให้จำเลยรับชำระหนี้จากโจทก์และคืนที่พิพาทให้โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้ขายที่พิพาทให้จำเลยเป็นเงิน 1,500 บาท ฯลฯ
ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์ได้ทำสัญญาขายที่บ้านและนาให้จำเลยจริงจึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาคงฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ขายที่พิพาทให้แก่จำเลยโดยทำเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายกันเอง และได้มอบที่บ้านและนาให้จำเลยครอบครองแล้วเมื่อที่บ้านและที่นาพิพาทกันเป็นที่ดินมือเปล่าโจทก์ได้สละการครอบครองให้จำเลยแล้ว จำเลยย่อมได้มาซึ่งสิทธิครอบครอง สำหรับที่บ้านนั้น แม้จำเลยจะครอบครองยังไม่ถึง 10 ปี แต่เมื่อโจทก์มิได้นำสืบว่า ที่บ้านนี้โจทก์มีสิทธิอยู่ตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ 42 มาแล้ว ก็ต้องถือว่าโจทก์มีแต่เพียงสิทธิครอบครอง เมื่อโจทก์สละเจตนาครอบครองให้จำเลยแล้ว โจทก์จะเรียกคืนหาได้ไม่ ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 5/2495
จึงพิพากษายืน