คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2219/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนโดยอาศัยเหตุว่าจำเลยที่ 1 มิใช่สามีของนาง จ. เจ้ามรดก ศาลฎีกาวินิจฉัยคดีถึงที่สุดว่านาง จ. และจำเลยที่ 1 ยังเป็นสามีภรรยากัน จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้เป็นผู้สืบสันดานของนาง จ. จึงไม่มีสิทธิรับมรดกของนาง จ. แต่ฟ้องโจทก์ขาดอายุความมรดกส่วนคดีนี้โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนโดยอาศัยเหตุว่าจำเลยที่ 1 ถูกกำจัดมิให้รับมรดกของนาง จ. เนื่องจากจำเลยที่ 1 ปิดบังซ่อนเร้นเพื่อมิให้โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 ได้รับมรดกของนาง จ. เหตุที่ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจึงเป็นคนละเหตุกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นทายาทของนางเจริญเจ้ามรดก มีสิทธิรับมรดกของนางเจริญโจทก์ที่ 5 ได้รับที่ดินมรดกในทางศาสนาเนื้อที่ 1 ไร่จำเลยที่ 1 ได้กระทำโดยไม่สุจริตโดยแจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานว่านางเจริญไม่มีทายาทจะรับมรดกนอกจากตนเจ้าพนักงานหลงเชื่อจึงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นมรดกของนางเจริญให้จำเลยที่ 1 และในวันเดียวกันนั้นเองจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนยกให้โดยเสน่หาซึ่งที่ดินนั้นให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 แล้วต่อมามีการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินออกเป็น 3 แปลงและจำเลยที่ 2 สมคบกับจำเลยที่ 4 จดทะเบียนขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 5 ให้แก่จำเลยที่ 4 จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ถูกกำจัดมิให้รับมรดกรายนี้และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถูกกำจัดมิให้รับมรดกที่ดินทั้งหมดให้จำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จำนวนเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 14 ตารางวาให้จำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ที่ 5 จำนวนเนื้อที่ 1 ไร่ในฐานะโจทก์ที่5 ครอบครองปรปักษ์หากจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยทั้งสี่ให้การว่านางปุ้ยได้โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 5 ให้นางเจริญและโจทก์ที่ 3 ถือกรรมสิทธิ์ร่วมส่วนบุตรคนอื่นได้รับเงินจากนางเจริญและโจทก์ที่ 3 เป็นที่พอใจจึงไม่มีชื่อร่วมอยู่ในโฉนดนางเจริญและโจทก์ที่ 3 ได้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์ร่วมกันนางเจริญได้ที่ดินโฉนดเดิมเนื้อที่ 2 ไร่ 2 งาน 14 ตารางวานางปุ้ยมิได้ยกที่ดินให้นางเจริญโดยเสน่หา เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 14ตารางวาและมิได้ยกที่ดินให้โจทก์ที่ 5 เพื่อเป็นสุสานฝังศพจำนวนเนื้อที่ 1 ไร่จำเลยที่ 2 และที่ 4 ไม่ได้สมคบกระทำการไม่สุจริตจำเลยที่ 4 รับซื้อฝากโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนเป็นเงินประมาณ 100,000 บาทจำเลยที่ 1 ไม่ได้แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานเพื่อปิดบังทรัพย์มรดกเป็นของตนเอง โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 12684/2521 ของศาลชั้นต้นซึ่งศาลได้วินิจฉัยถึงที่สุดแล้วว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ 1 ปีทั้งฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์
คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์ที่ 2 ถึงแก่ความตายโจทก์ที่ 3 ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 2 ผู้มรณะศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งห้าฎีกา
ศาลวินิจฉัยว่าในปัญหาที่ว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 ฟ้องคดีนี้ซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 12684/2521 ของศาลชั้นต้นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 หรือไม่นั้นเห็นว่าในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 12684/2521 โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยทั้งสี่โดยอาศัยเหตุว่าจำเลยที่ 1 ได้หย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากับนางเจริญเจ้ามรดกก่อนที่นางเจริญจะถึงแก่ความตายจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ทายาทของนางเจริญและจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจจดทะเบียนยกกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทั้งจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิจดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 4 ศาลฎีกาวินิจฉัยคดีถึงที่สุดว่านางเจริญและจำเลยที่ 1 ยังเป็นสามีภรรยากันจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้เป็นผู้สืบสันดานของนางเจริญจึงไม่มีสิทธิรับมรดกของนางเจริญ แต่ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะนำคดีมาฟ้องพ้นกำหนด 1 ปีนับแต่นางเจริญถึงแก่ความตายแต่คดีนี้โจทก์ที่ 1ถึงที่ 4 ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยทั้งสี่โดยอาศัยเหตุว่าจำเลยที่ 1 ถูกกำจัดมิให้รับมรดกของนางเจริญเนื่องจากจำเลยที่ 1 แจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่านางเจริญไม่มีทายาทอื่นการกระทำของจำเลยที่ 1 มุ่งประสงค์โดยตรงจะปิดบังซ่อนเร้นเพื่อมิให้โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 ได้รับมรดกของนางเจริญอันเป็นการปิดบังมรดกเกินกว่าส่วนของจำเลยที่ 1 จะได้รับจำเลยที่ 1จึงไม่มีสิทธิโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 จำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทให้จำเลยที่4 โดยจำเลยที่ 4 รู้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริตจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทคดีโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ไม่ขาดอายุความ ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนโดยอาศัยเหตุว่าจำเลยที่ 1 ถูกกำจัดมิให้ได้มรดกของนางเจริญจึงไม่ซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 12684/2521ที่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนโดยอาศัยเหตุว่าจำเลยที่ 1 มิใช่สามีของนางเจริญเจ้ามรดก โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 ฟ้องคดีนี้ได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148
ส่วนปัญหาฟ้องของโจทก์ที่ 5 ขาดอายุความหรือไม่นั้นเห็นว่าหากคดีนี้ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ถูกกำจัดมิให้รับมรดกแล้วจำเลยที่ 1 ก็ไม่มีสิทธิรับมรดกของนางเจริญและไม่อาจที่จะถือประโยชน์ยกอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 มายันโจทก์ที่ 5 ได้ไม่ควรด่วนวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ที่ 5 ขาดอายุความแล้วสมควรที่จะฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความก่อนจึงจะวินิจฉัย
แต่โดยเหตุที่ศาลล่างยังมิได้วินิจฉัยประเด็นข้ออื่นอีกหลายข้อ จึงเห็นควรให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปความ.

Share