คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2219/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในการพิจารณาของศาลฎีกาปรากฏว่าฟ้องโจทก์เฉพาะ กระทงความผิดฐานผลิตกัญชาหรือปลูกต้นกัญชาและกระทงความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งกัญชาที่ปลูกไว้ดังกล่าวนั้น แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องอ้างว่าการกระทำผิดสองฐานนี้เป็นความผิดต่างกระทงต่างกรรมกันจำเลยให้การรับสารภาพและศาลล่างลงโทษมาเป็นสองกรรมก็ตาม แต่ความผิดทั้งสองฐานความผิดดังกล่าวก็เป็นความผิดกรรมเดียวกัน ปัญหาดังกล่าวนี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้และเมื่อได้ยกปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวขึ้นวินิฉัยแล้ว แม้จำเลยจะฎีกาขึ้นมาเพียงขอให้รอการลงโทษ ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและต้องห้าม ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงรวมข้อดุลพินิจในการกำหนดโทษต่อไปได้ด้วย
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2527)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๒๕ จำเลยมีอาวุธปืนลูกซองสั้นไม่มีเครื่องหมายทะเบียน ๑ กระบอกและกระสุนปืน ๒ นัด ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยผลิตกัญชาโดยปลูกต้นกัญชาไว้ในบริเวณบ้านของจำเลยจำนวนหลายต้น จำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งกัญชาที่จำเลยปลูกไว้ดังกล่าวเป็นกัญชาสด ๑ มัด หนัก ๕ กิโลกรัม และกัญชาแห้ง ๑ ห่อ หนัก ๑ กรัมและจำเลยเสพกัญชาที่มีไว้โดยการสูบเข้าร่างกาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ คำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๕ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๑๙ ข้อ ๖ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒มาตรา ๔, ๗, ๒๖, ๕๗, ๗๕, ๗๖, ๙๒, ๑๐๒ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑, ๓๒ ริบของกลางทั้งหมดด้วย
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก ๑ ปี ๖ เดือน และปรับ ๔,๐๐๐ บาทฐานผลิตกัญชา ให้จำคุก ๒ ปี และปรับ ๒๐,๐๐๐ บาท ฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครอง จำคุก ๖ เดือน และปรับ ๒,๐๐๐ บาท และฐานเสพกัญชา ให้จำคุก๖ เดือน และปรับ ๖๐๐ บาท รวม ๔ กระทง เป็นจำคุก ๔ ปี ๖ เดือน และปรับ๒๖,๖๐๐ บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๒ ปี ๓ เดือน และปรับ ๑๓,๓๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ของกลางริบ
โจทก์อุทธรณ์ขอไม่ให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ไม่สมควรรอการลงโทษ พิพากษาแก้เป็นว่าให้ลงโทษฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครอง จำคุก ๑ ปีฐานผลิตกัญชา จำคุก ๒ ปี ฐานมีกัญชา จำคุก ๑ เดือน และฐานเสพกัญชาจำคุก ๑ เดือน รวมเป็นจำคุก ๓ ปี ๒ เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๑ ปี ๗ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนกันมาในข้อที่ว่าจำเลยมีความผิดรวม ๔ กระทงตามฟ้อง เพียงแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษที่ศาลชั้นต้นแก่จำเลยและไม่รอการลงโทษเท่านั้น แต่โทษที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ลงแก่จำเลยในแต่ละกระทงก็ยังจำคุกไม่เกิน ๑ ปี และปรับไม่เกิน๑๐,๐๐๐ บาท คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๑๗ มาตรา ๖ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลย และในการพิจารณาของศาลฎีกาปรากฏว่าฟ้องโจทก์เฉพาะกระทงความผิดฐานผลิตกัญชาหรือปลูกต้นกัญชาและกระทงความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งกัญชาที่ปลูกไว้ดังกล่าวนั้น แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องอ้างว่าการกระทำผิด ๒ ฐานนี้เป็นความผิดต่างกระทงต่างกรรมกัน และจำเลยให้การรับสารภาพก็ตามแต่ความผิดทั้ง ๒ ฐานความผิดดังกล่าวก็เป็นความผิดกรรมเดียวกัน ปัญหาดังกล่าวนี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็เห็นควรยกขึ้นแก้ไขเสียให้ถูกต้อง และเมื่อได้ยกปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยแล้ว แม้จำเลยจะฎีกาขึ้นมาเพียงขอให้รอการลงโทษ ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้นศาลฏีกาย่อมมีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงรวมข้อดุลพินิจในการกำหนดโทษต่อไปได้ด้วย ซึ่งในคดีนี้ปรากฏว่าอาวุธปืนและกระสุนปืนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองนั้น จำเลยเพียงแต่ครอบครองไว้ในบ้านช่องของจำเลยมิได้พกพาไปในที่สาธารณะให้เป็นที่หวาดเสียวหรือกระทบกระเทือนต่อความสงบสุขของประชาชน ส่วนกัญชาที่จำเลยปลูกไว้ก็ไม่ปรากฏตามฟ้องโจทก์ว่ามีกี่ต้นแน่ เพียงแต่เมื่อรวมน้ำหนักกัญชาที่จำเลยปลูกไว้แล้วได้น้ำหนักเป็นกัญชาสด ๕ กิโลกรัม และกัญชาแห้ง ๑ กรัม ทั้งกัญชาที่จำเลยเสพก็คือกัญชาที่จำเลยปลูกขึ้นและมีไว้ดังกล่าวนั่นเอง กัญชาดังกล่าวมีจำนวนไม่มาก ส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยปลูกไว้เพื่อเสพและข้อเท็จจริงตามฟ้องก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยปลูกและมีกัญชาตามฟ้องไว้เพื่อจำหน่ายแต่อย่างใด จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน และจำเลยต้องจำคุกตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี พอจะรู้สึกตัวกลัวผิดแล้ว ประกอบกับโดยพฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวมา คดีมีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษให้จำเลยตามที่จำเลยฎีกาขึ้นมา
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานผลิตกัญชาและมีกัญชาไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๖ วรรคแรก ซึ่งมีโทษตามมาตรา ๗๕ และ ๗๖ วรรคแรก ตามลำดับที่โจทก์ฟ้องจำเลยนั้น เป็นความผิดกรรมเดียวกันให้ลงโทษจำเลยฐานผลิตกัญชาซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ และให้รอการลงโทษทั้งหมดของจำเลยไว้มีกำหนด ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share