แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนี้ตาม คำพิพากษาที่ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดต่อ โจทก์โดยจำกัดวงเงินให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดนั้น จำเลยที่ 3 ต้องผูกพันชำระหนี้ในส่วนที่ตนต้อง รับผิดจนกว่าจะชำระหนี้ส่วนที่ต้องรับผิดจนครบหรือจนกว่าโจทก์จะได้ รับชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้วเมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ชำระหนี้ส่วนที่ตนต้อง รับผิดยังไม่ครบและโจทก์ยังมิได้รับชำระหนี้เสร็จสิ้น จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมจึงต้อง ชำระหนี้ในส่วนที่ตน ยังต้อง รับผิด ตาม นัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองแก่โจทก์จำนวนเงิน 17,860,967.11 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันถัดจากวันที่ 28กุมภาพันธ์ 2518 จนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในต้นเงินเพียง 3,500,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันที่ 28 กุมภาพันธ์2518 จนกว่าจะชำระเสร็จเช่นเดียวกัน หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้โจทก์ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้หากได้เงินยังไม่ครบให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ได้จนครบและให้จำเลยทั้งสามชำระค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาทแทนโจทก์หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้นำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์600,000 บาท และโจทก์นำยึดที่ดินจำนองของจำเลยที่ 3 ขายทอดตลาดไปได้เงินสุทธิจำนวน 1,099,660 บาท โจทก์นำยึดที่ดินจำนองของจำเลยที่ 2 ไว้ และจำเลยที่ 2 ได้ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองไปในราคา 6,000,000บาท และต่อมาวันที่ 30 มิถุนายน 2524 จำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์อีกบางส่วนจำนวน 300,000 บาท จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงยังคงเป็นหนี้โจทก์จำนวน 21,174,884.09 บาท หลังจากนั้นไม่ได้มีการชำระหนี้ให้แก่โจทก์อีก จำเลยที่ 1 ที่ 2 ต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมด้วยดอกเบี้ยรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 30,837,527.33บาท ส่วนจำเลยที่ 3 ต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมด้วยดอกเบี้ยรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 6,520,750.95 บาท ตามรายการคำนวณยอดหนี้ตามคำพิพากษาท้ายฟ้อง จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาถึงที่สุดเป็นจำนวนแน่นอนเกินกว่าห้าแสนบาท และไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้จำเลยทั้งสามจึงเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยทั้งสามล้มละลาย
จำเลยที่ 1 ไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 2ที่ 3 ชำระหนี้ในส่วนที่ผูกพันตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วเพราะตามคำพิพากษาดังกล่าวได้กำหนดจำนวนหนี้ต้องรับผิดไว้มิใช่รับผิดทั้งหมดเต็มจำนวนในหนี้ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ที่ 3ได้ร่วมกันชำระหนี้ในส่วนของตนครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่สุจริตกลับนำเงินที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ชำระไปชดใช้แก่จำเลยที่ 1จึงทำให้หนี้ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ยังคงค้างชำระ จึงเป็นยอดหนี้เท็จและไม่มีมูลที่จะฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ จำเลยที่ 2 ที่ 3มีฐานะทางการค้ามั่นคง และมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งพิทักษืทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หนี้ตามคำพิพากษากำหนดให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในต้นเงิน 17,860,967.11 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 28กุมภาพันธ์ 2518 จนกว่าจะชำระเสร็จ โดยจำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดในต้นเงินเพียง 3,500,000 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราและระยะเวลาเดียวกันดังกล่าวฉะนั้นจำเลยที่ 3 จึงต้องผูกพันชำระหนี้ในส่วนที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิด ทั้งนี้จนกว่าจะชำระหนี้ส่วนที่ต้องรับผิดจนครบหรือจนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้วเมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้โดยจำเลยที่ 1 ผ่อนชำระ 4 ครั้งเป็นเงิน 900,000 บาท และจำเลยที่ 2 ไถ่ถอนจำนองที่ดินของจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 6,000,000 บาท แต่นำไปชำระหนี้ได้เพียงดอกเบี้ยส่วนหนึ่งของหนี้ที่ค้างชำระอยู่เท่านั้น จึงมีหนี้ที่จำเลยที่ 1ยังคงค้างชำระทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องรวมทั้งสิ้น30,878,527.32 บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.4 ส่วนการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยที่ 3 ได้เงิน 1,099,660 บาท หักใช้หนี้ได้เฉพาะดอกเบี้ยในส่วนที่จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดแล้ว ยังคงค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 6,520,750.95 บาทปรากฏตามเอกสารหมาย จ.5 เมื่อโจทก์ยังมิได้รับชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้วจำเลยทั้ 3 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมจึงต้องชำระหนี้ในส่วนที่ตนต้องรับผิดจำนวน 6,520,750.95 บาท ทั้งนี้ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ท่คี่ 291 จำเลยที่ 3 จึงยังไม่หลุดพ้นจากหนี้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.