แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จะฟ้องขอคืนเงินที่ลงหุ้นไป โดยมิได้ขอให้มีการเลิกห้างหุ้นส่วนและชำระบัญชี หาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเข้าหุ้นกันจับจองที่ดินเพื่อทำเหมืองแร่ที่ตำบลแม่หวาด อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา โจทก์ออกเงินเข้าหุ้นเป็นเงิน ๗๔,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๒ ออกเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท นอกจากนี้โจทก์ที่ ๑ ยังได้ออกเงินค่าค้ำประกันเช็คธนาคารไทยพัฒนาไป ๔,๐๐๐ บาท ค่ารังวัดที่ดิน ๒ งวด เป็นเงิน ๔,๗๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๘๒,๗๐๐ บาท ส่วนโจทก์ที่ ๒ออกเงินค่าค้ำประกันเช็คธนาคารไทยพัฒนาไป ๒,๐๐๐ บาท ค่ารังวัดที่ดินอีก ๑,๖๐๐ บาท รวมจ่ายไป ๑๓,๖๐๐ บาท ทั้งนี้ เพื่อจะตั้งห้างหุ้นส่วนไทยวินำเพื่อขอจับจองที่ดิน แต่ห้างหุ้นส่วนไม่ได้ตั้งขึ้น เมื่อจำเลยทั้งสองจับจองที่ดินได้แล้ว จำเลยที่ ๒ ยึดถือเอาเป็นประโยชน์ของตนแต่ผู้เดียวไม่ยอมให้โจทก์เข้าเกี่ยวข้อง โจทก์ทั้งสองไม่ประสงค์จะเกี่ยวข้องในที่ดินรายนี้ต่อไป ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองคืนเงินให้แก่โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๘๒,๗๐๐บาท คืนให้โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๑๓,๖๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจำเลยทั้งสองจะคืนเงินให้โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ได้ทำหนังสือสัญญาเข้าหุ้นเพื่อจับจองที่ดินในการทำเหมืองแร่จริง แต่ยังไม่ได้ลงเงินเต็มค่าหุ้นตามสัญญาเป็นแต่ผู้เป็นหุ้นส่วนต่างร่วมกันออกเงินเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เพื่อให้ได้ที่ดินในการทำเหมืองแร่และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ไม่มีเงินของโจทก์หรือหุ้นส่วนคนใดตกค้างอยู่ที่จำเลย ต่อมาหุ้นส่วนดังกล่าวจัดทำสัญญาเข้าหุ้นกันใหม่และยื่นคำร้องขอจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ต้องใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้น จึงขอให้หุ้นส่วนนำเงินมาลงหุ้น โจทก์ทั้งสองปฏิเสธ ผลสุดท้ายที่ประชุมผู้เป็นหุ้นส่วนลงมติให้เลิกห้างหุ้นส่วนเสีย โจทก์ไม่มีสิทธิจะเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์
วันชี้สองสถานโจทก์จำเลยแถลงรับกันว่า ได้ทำสัญญาหุ้นส่วนกันเพื่อจะทำเหมืองแร่จริง โจทก์ว่าได้ลงเงินค่าหุ้นไปตามจำนวนที่ระบุในฟ้องในวันทำสัญญา ส่วนเงินที่ทดรองลงตามจำนวนและวันที่ระบุในเอกสารหมาย ก. แผ่นที่ ๒ และหมาย ข. จำเลยโต้เถียงว่าโจทก์มิได้ลงเงินตามจำนวน และวันเวลาที่โจทก์อ้าง เพียงแต่ต้องจ่ายเงินเท่าไร หุ้นส่วนแต่ละคนก็ใช้จ่ายไปแต่ละคน ฝ่ายจำเลยก็ได้ออกเงินทดรองไปด้วย โจทก์แถลงต่อไปว่าห้างหุ้นส่วนยังไม่ได้เลิกกัน แต่จำเลยว่าได้ประชุมเลิกกันแล้ว โจทก์จำเลยรับกันว่า ถ้าเลิกกิจการรายนี้ต้องชำระบัญชี
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องสืบพยานแล้วพิพากษาว่าโจทก์จะฟ้องขอแบ่งทุนที่ลงหุ้นโดยไม่ฟ้องขอให้ศาลเลิกห้างหุ้นส่วนไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ใจความสำคัญว่าโจทก์มอบเงินให้จำเลยไปเพื่อจะตั้งห้างหุ้นส่วนไทยวินำเพื่อขอสัมปทานที่ดินทำเหมืองแร่ เมื่อห้างหุ้นส่วนไทยวินำยังไม่ได้ตั้งขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องชำระบัญชี โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินที่มอบแก่จำเลยคืนได้
ศาลฎีกาเห็นว่า คำบรรยายฟ้องของโจทก์และเอกสารหมาย ก.ท้ายฟ้อง ประกอบกับคำแถลงรับของโจทก์จำเลย แสดงให้เห็นโดยชัดเจนแล้วว่า หุ้นส่วนระหว่างโจทก์จำเลยได้ตั้งขึ้นและได้ดำเนินการไปตามวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วนไปบางส่วน โดยมีการวิ่งเต้นจนได้รับสัมปทานที่ดินมาเพื่อทำเหมืองแร่แล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้ตั้งชื่อห้างหุ้นส่วนเพื่อดำเนินการในขั้นต่อไปเท่านั้น เมื่อโจทก์จำเลยเกิดการขัดแย้งกันจนไม่อาจดำรงการเป็นหุ้นส่วนต่อไปได้ โจทก์ก็ชอบที่จะต้องจัดการขอให้มีการเลิกหุ้นส่วนเพื่อชำระบัญชีดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๕๕ ถึง ๑๐๖๓ เมื่อการชำระบัญชีไม่ถูกต้องอย่างใด โจทก์จึงจะมีสิทธิฟ้องคดีได้โจทก์จะมาฟ้องขอคืนเงินที่ลงหุ้นไป โดยยังไม่มีการชำระบัญชีหาได้ไม่ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน