คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2213-2214/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 หยิบแว่นตาจากกระเป๋าเสื้อผู้เสียหายขณะนั่งอยู่ในร้ายขายอาหารไปใส่ส่องกระจกดู แล้วจำเลยทั้งสามเดินออกจากร้านไป ไม่คืนแว่นตา เมื่อผู้เสียหายไปขอคืน จำเลยไม่คืนให้ กลับให้จำเลยที่ 2 เอาแว่นตาไป ผู้เสียหายขอคืนจากจำเลยที่ 2 ๆ ไม่ให้ จำเลยที่ 3 คว้าเอาไปอีกต่อหนึ่งต่อหน้าผู้เสียหาย แล้วพากันขึ้นรถประจำทางไป ผู้เสียหายตามไปทวงคืนอีกจำเลยที่ 2 ที่ 3 พูดว่า อย่าตามมานะ ถ้าตามจะเจ็บตัว ต่อมาในวันเกิดเหตุนั่นเอง จำเลยที่ 3 เอาแว่นตาไปจำนำ ดังนี้ จำเลยทั้งสามต้องมีความผิดฐานปล้นทรัพย์

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาและพิพากษา โดยเรียกจำเลยสำนวนหลังเป็นจำเลยที่ ๓
โจทก์ฟ้องคดีทั้งสองสำนวนมีใจความเป็นอย่างเดียวกันว่า จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันปล้นเอาแว่นตาของผู้เสียหายไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคแรก ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๑๔ และประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๖๓ และส่งคืนของกลางแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคแรก ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ข้อ ๑๔ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๕,๗๖ จำคุกจำเลยคนละ ๕ ปี ดำเนินความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยคนละ ๓ ปี ๔ เดือน คืนของกลางแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตอนที่จำเลยที่ ๑ หยิบแว่นตาจากกระเป๋าเสื้อผู้เสียหายไปใส่ส่องกระจกดู ตอนนี้ผู้เสียหายก็นาจะเข้าใจว่าจำเลยที่ ๑ เพียงลองใส่ดูเท่านั้น จึงไม่ได้ว่ากระไร แต่เมื่อจำเลยทั้งสามเดินออกจากร้านไปโดยจำเลยที่ ๑ ไม่คืนแว่นตา เมื่อผู้เสียหายไปขอคืน จำเลยที่ ๑ ไม่คืนให้ จำเลยที่ ๑ กลับให้จำเลยที่ ๒ เอาแว่นตาไป ผู้เสียหายขอคืนจากจำเลยที่ ๒ อีก จำเลยที่ ๒ ไม่ให้ จำเลยที่ ๓ คว้าเอาไปอีกต่อหนึ่งต่อหน้าผู้เสียหาย แล้วจำเลยทั้งสามก็พากันขึ้นรถประจำทางไป ลักษณะการกระทำของจำเลยเช่นนี้เป็นการจงใจเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม การเอาแว่นตาของผู้เสียหายไปเป็นทอด ๆ แสดงว่าเป็นแผนของจำเลยเพื่อป้องกันมิให้ผู้เสียหายแย่งเอาคืน ครั้นผู้เสียหายติดตามจำเลยไปไม่ลดละเพื่อทวงคืน จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ พูดว่า อย่าตามมานะ ถ้าตามจะเจ็บตัว เป็นการขู่เข็ญว่าจะทำร้ายผู้เสียหาย และขู่เข็ญในขณะที่ผู้เสียหายติดตามอยู่ตลอดมาไม่ขาดตอน การะทำของจำเลยส่อเจตนาทุจริตมิใช่เป็นการล้อกันเล่นฐานคนรู้จักกัน ทั้งในวันเกิดเหตุนั้นเองจำเลยที่ ๓ เอาแว่นตาไปจำนำ พฤติการณ์ดังกล่าวประกอบกันฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยทั้งสามต้องมีความผิดฐานปล้นทรัพย์จริงดังฟ้อง
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
(ผสม จิตรชุ่ม ยงยุทธ เลอลภ มงคล วัลยะเพ็ชร์)

Share