คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2211/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มกับเสียเงินเพิ่มและโจทก์อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ทั้งเรื่องภาษีเพิ่มและเงินเพิ่มเมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์และโจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลทั้งเรื่องภาษีและเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 (2) ศาลจึงมีอำนาจพิจารณาเกี่ยวกับเงินเพิ่ม
โจทก์ทราบดีว่าเงินที่โจทก์แบ่งให้แก่ ก. เป็นผลกำไรของโจทก์ ทั้งประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (19) ก็บัญญัติไว้ชัดแจ้งว่ารายจ่ายที่กำหนดจ่ายจากผลกำไรที่ได้เมื่อสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีไม่ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ การที่โจทก์นำรายจ่ายส่วนแบ่งกำไรดังกล่าวไปหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเป็นการอำพรางข้อเท็จจริง จึงไม่มีเหตุลดเงินเพิ่มให้โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่าโจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลต่ำกว่าที่ควรเสีย สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๑๘ ถึง ๒๕๒๐ จึงประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินเพิ่มอีกรวมเป็นจำนวน ๓๙,๗๙๔,๙๔๑.๓๖ บาท โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาแล้วให้ยกอุทธรณ์ โจทก์เห็นว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยเป็นการมิชอบ จึงขอให้เพิกถอนคำสั่งประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว
จำเลยทั้งห้าให้การว่า จำเลยได้ประเมินให้โจทก์เสียภาษีและเงินเพิ่มตามฟ้องถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย โจทก์เสียภาษีไว้ไม่ถูกต้อง โดยนำรายจ่ายค่าส่วนแบ่งผลกำไรซึ่งโจทก์จ่ายให้แก่กรมโรงงานอุตสาหกรรม มารวมเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๖๕ ตรี (๑๙) จึงต้องเสียภาษีเพิ่มและเงินเพิ่มตามที่จำเลยประเมิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๒๒ ตามแบบคำสั่งให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ลงหนึ่งในสาม
จำเลยฎีกาว่า ศาลไม่มีอำนาจลดเงินเพิ่ม และไม่สมควรลดเงินเพิ่มให้โจทก์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อที่จำเลยฎีกาว่าศาลไม่มีอำนาจลดเงินเพิ่ม กับไม่สมควรลดเงินเพิ่มให้โจทก์นั้น สำหรับเรื่องอำนาจศาล ศาลฎีกาเห็นว่าเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มกับเสียเงินเพิ่มและโจทก์อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ทั้งเรื่องภาษีเพิ่มและเงินเพิ่ม เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ และโจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลทั้งเรื่องภาษีและเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๓๐(๒) ศาลจึงมีอำนาจพิจารณาเกี่ยวกับเงินเพิ่ม ส่วนเรื่องการลดเงินเพิ่ม หม่อมราชวงศ์ปิติศิริ เกษมสันต์ พยานโจทก์ เบิกความว่า ตัวเลขที่จำเลยนำมาประเมินภาษีได้มาจากบัญชีของโจทก์ และการเรียกเงินเพิ่มในอัตราเท่ากับผู้เลี่ยงภาษีที่ไม่นำรายได้มาลงบัญชีไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ ซึ่งนายผจญ โสตถิพัฒนพงศ์ พยานจำเลย เบิกความว่า พยานเป็นผู้ตรวจสอบภาษีของโจทก์ตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ ถึงปี ๒๕๒๐ โดยตรวจจากแบบยื่นรายการภาษีเงินได้และงบดุลที่โจทก์ยื่นไว้ ปรากฏว่าโจทก์นำรายจ่ายที่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๖๕ ตรี (๑๙) ไปหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาทเศษ จึงได้ขอออกหมายเรียกโจทก์มาไต่สวนจากนั้นได้ปรับปรุงรายได้ของโจทก์ใหม่แล้วแจ้งการประเมินให้โจทก์ทราบตามเอกสารหมาย ล.๙ ถึง ล.๑๑ ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.๖ ข้อ ๘ มีใจความว่า โจทก์ยอมแบ่งกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการผลิตและจำหน่ายสุราให้แก่กรมโรงงานอุตสาหกรรมเป็นผลกำไรของโจทก์ ทั้งประมวลรัษฎากร มาตรา ๖๕ ตรี(๑๙) ก็บัญญัติไว้ชัดแจ้งความว่า รายจ่ายที่กำหนดจ่ายจากผลกำไรที่ได้เมื่อสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีแล้ว ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ การที่โจทก์นำรายจ่ายส่วนแบ่งกำไรดังกล่าวไปหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษี จึงเป็นการอำพรางข้อเท็จจริง ทั้งการที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีอากรของจำเลยที่ ๑ ทำการตรวจสอบและไต่สวนพบว่า รายการภาษีเงินได้ที่โจทก์ยื่นไว้ไม่ถูกต้อง แล้วประเมินให้โจทก์รับผิดเสียเงินอีกร้อยละ ๒๐ แห่งเงินภาษีอากรที่เพิ่มขึ้นก็เป็นการชอบด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา ๒๐ และ ๒๒ จึงไม่สมควรลดเงินเพิ่มให้โจทก์
พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share