คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2209/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลบังคับให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ มิใช่เป็นการบังคับยึดทรัพย์สินของจำเลยมาขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยโดยวิธีอื่น แต่ในคำร้องของจำเลยปรากฎว่าคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์เป็นเรื่องขอให้โจทก์ชำระหนี้เงินวัตถุแห่งหนี้จึงเป็นคนละอย่างต่างกัน ไม่อาจที่จะหักกลบหนี้กันได้ กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 วรรคแรกจำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้งดการบังคับคดีไว้ก่อน

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาบังคับให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ คดีถึงที่สุด ศาลชั้นต้นจึงได้ออกคำบังคับ จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าจำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์เรียกเงินคืนจากโจทก์ฐานลาภมิควรได้ หากศาลพิพากษาให้จำเลยชนะคดี จำเลยอาจไม่ต้องส่งมอบโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ เพราะสามารถยึดมาหักกลบลบหนี้ได้ ขอให้ศาลชั้นต้นงดการบังคับคดีไว้ก่อน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วทั้งกรณีไม่มีเหตุที่จะงดการบังคับจึงไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าจำเลยมีสิทธิขอให้งดการบังคับคดีไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 วรรคแรกบัญญัติว่า “ลูกหนี้ตามคำพิพากษาอาจยื่นคำขอทำเป็นคำร้องต่อศาลให้งดการบังคับคดีไว้ โดยเหตุที่ตนได้ยื่นฟ้องเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นคดีเรื่องอื่นในศาลเดียวกันนั้น ซึ่งศาลยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาด และถ้าหากตนเป็นฝ่ายชนะจะไม่ต้องมีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายหรือทรัพย์สินของตนโดยวิธีอื่นเพราะสามารถจะหักกลบลบหนี้กันได้” เห็นว่า คดีนี้ศาลบังคับให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ มิใช่เป็นการบังคับยึดทรัพย์สินของจำเลยมาขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยโดยวิธีอื่นแต่ในคำร้องของจำเลยปรากฎว่า คดีที่จำเลยฟ้องโจทก์เป็นเรื่องขอให้โจทก์ชำระหนี้เงิน วัตถุแห่งหนี้จึงเป็นคนละอย่างต่างกันไม่อาจที่จะหักกลบลบหนี้กันได้ กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติดังกล่าวมาจำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้งดการบังคับคดีไว้ก่อน เมื่อวินิจฉัยเช่นนี้แล้ว ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยอีก
พิพากษายืน

Share