คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2209/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ของจำเลยได้ยกที่ดินให้จำเลยโดยเสน่หา โจทก์จึงเป็นผู้มีบุญคุณต่อจำเลยที่จำเลยพึงต้องเคารพเมื่อโจทก์ไปหาจำเลยเพื่อขอเงินมาใช้จ่ายส่วนตัวเพราะโจทก์ไม่มีเงิน จำเลยกลับขับไล่โจทก์ออกจากบ้านและพูดว่า “อีแก่อย่ามาหาอีก” การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงถือได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ โจทก์ถอนคืนการให้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ยกที่ดินให้จำเลยโดยเสน่หา ต่อมาจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ จึงขอให้จำเลยคืนที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ขายที่พิพาทให้จำเลย แต่จดทะเบียนเป็นการยกให้โดยเสน่หาจำเลยไม่เคยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินและจดทะเบียนโอนที่ดินคืนให้โจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นญาติผู้ใหญ่ของจำเลยได้ยกที่ดินให้จำเลยโดยเสน่หาจึงเป็นผู้มีบุญคุณต่อจำเลย ที่จำเลยพึงต้องเคารพ เมื่อโจทก์ไปหาจำเลยเพื่อขอเงินมาใช้จ่ายส่วนตัว จำเลยกลับขับไล่โจทก์ออกจากบ้านและพูดคำว่า “อีแก่อย่ามาหาอีก”แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่เคารพโจทก์ผู้มีพระคุณและเกลียดชังโจทก์ไม่ยอมให้มาหาจำเลยอีก การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ถือได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ โจทก์ถอนคืนการให้ได้
พิพากษายืน

Share