แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานเบิกความเท็จตาม ป.อ. มาตรา 177 นั้น ผู้กระทำผิดจะต้องกระทำโดยเจตนา คือรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่ตนเบิกความนั้นเป็นเท็จ แต่ฟ้องของโจทก์มิได้มีข้อความดังกล่าว และโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่าข้อความเท็จที่จำเลยเบิกความเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร อันเป็นการกระทำที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิดพอสมควรให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามป.วิ.อ. มาตรา 158(5) ศาลชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้สาบานตนในฐานะพยานโจทก์ แล้วเบิกข้อความอันเป็นเท็จต่อศาลแพ่งธนบุรีในการพิจารณาคดีว่า’จำเลยไม่ได้ชำระดอกเบี้ยตามสัญญาและเมื่อครบกำหนด 1 ปีจำเลยไม่ยอมไถ่ถอน จนบัดนี้ข้า ฯ ยังไม่เคยได้รับชำระดอกเบี้ยเลย’ ข้อความเท็จดังกล่าวเป็นข้อความสำคัญในคดีความจริงจำเลยในคดีดังกล่าวเคยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ไปบางส่วนแล้ว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า คดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘โจทก์ฎีกาว่าข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลแพ่งธนบุรีเป็นข้อสำคัญในคดีเนื่องจากโจทก์ชำระดอกเบี้ยให้จำเลยไปแล้ว 2 เดือน มิฉะนั้นโจทก์อาจต้องชำระดอกเบี้ยให้จำเลยซ้ำอีก พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทำความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 นั้น ผู้กระทำความผิดจะต้องกระทำโดยเจตนา คือรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่ตนเบิกความนั้นเป็นเท็จ แต่ตามฟ้องของโจทก์มิได้มีข้อความว่า จำเลยได้รู้อยู่แล้วว่าข้อความที่จำเลยนำมาเบิกความนั้นเป็นความเท็จ อันเป็นเครื่องชี้เจตนาของจำเลยแต่อย่างใดและที่โจทก์อ้างว่าข้อความเท็จที่จำเลยเบิกความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดี โจทก์ก็มิได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่าเป็นข้อสำคัญแก่คดีอย่างไร อันเป็นการกระทำที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิดพอสมควรให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5)…’
พิพากษายืน.