คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 220/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีและให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท จำเลยอุทธรณ์ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 เมื่อจำเลยไม่นำเงินดังกล่าวมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบจำเลยจะอ้างว่าจำเลยชำระค่าธรรมเนียมตามที่เจ้าหน้าที่ศาลคิดคำนวณหาได้ไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์โดยไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนนี้ชอบแล้ว ส่วนฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นกำหนดให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ จึงไม่มีเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจำเลยจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนฟ้องแย้งจึงไม่ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า มีพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างและขยายทางหลวงเทศบาลในบริเวณเพลิงไหม้ในท้องที่ตำบลป้อมปราบศตรูพ่าย อำเภอป้อมปราบศตรูพ่าย จังหวัดพระนคร พ.ศ.2490 ใช้บังคับ เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลป้อมปราบศัตรูพ่าย อำเภอป้อมปราบศัตรูพ่าย จังหวัดพระนคร ให้แก่เทศบาลกรุงเทพมหานคร ซึ่งพื้นที่บางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 3491 ตำบลป้อมปราบศัตรูพ่าย อำเภอป้อมปราบศตรูพ่าย (สามเพ็ง) จังหวัดพระนคร อยู่ในแนวเขตเวนคืนและเจ้าของที่ดินได้รับเงินค่าทดแทนที่ดินส่วนที่ถูกเวนคืนตามพระราชบัญญัติแล้ว แต่เนื่องจากความบกพร่องในการรังวัดเขตในเวลาต่อมา ทำให้ที่ดินดังกล่าวมีเนื้อที่เหลืออยู่หลังจากถูกเวนคืนมากกว่าความเป็นจริง โดยรังวัดทับที่ดินส่วนที่เวนคืน ต่อมามีการก่อสร้างตึกแถวสี่ชั้นครึ่ง เลขที่ 169, 171 และ 173 ถนนพลับพลาไชย แขวงป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ในที่ดินดังกล่าวรุกล้ำที่ดินส่วนที่เวนคืน ต่อมามีการแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 8961 และ 8962 ทำให้ตึกแถวเลขที่ 169 อยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 3491 รุกล้ำที่ดินส่วนถูกเวนคืนเนื้อที่ 5.7 ตารางวา ต่อมาจำเลยได้รับโอนที่ดินและตึกแถวดังกล่าว โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนตึกแถวที่รุกล้ำที่ดินส่วนที่ถูกเวนคืนซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารและให้จำเลยรื้อถอนตึกแถวเลขที่ 169, 171 และ 173 ถนนพลับพลาไชย แขวงป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ส่วนที่รุกล้ำออกจากที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าวในฟ้อง หากจำเลยไม่รื้อถอนให้โจทก์ทั้งสองรื้อถอนได้เองโดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ให้จำเลยนำโฉนดเลขที่ 3491, 8961 และ 8962 ตำบลป้อมปรายศัตรูพ่าย อำเภอป้อมปราบศตรูพ่าย (สามเพ็ง) จังหวัดพระนคร ฉบับเจ้าของที่ดินส่งมอบแก่เจ้าพนักงานที่ดิน สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร เพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินกันเขตรูปแผนที่และจดทะเบียนประเภทแบ่งเวนคืนให้ถูกต้องตรงกับโฉนดที่ดินฉบับสำนักงานที่ดิน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินพบโฉนดที่ดินดังกล่าวฉบับของที่ดินให้มีอำนาจแก้ไขได้
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ตึกแถวเลขที่ 169, 171 และ 173 ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 3491, 8962 และ 8961 แขวงป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ตามลำดับของจำเลยมิได้รุกล้ำหรืออยู่ในเขตเวนคืนตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างและขยายทางหลวงเทศบาลในบริเวณเพลิงไหม้ท้องที่ตำบลป้อมปราบศัตรูพ่าย อำเภอป้อมปราบศัตรูพ่าย จังหวัดพระนคร พ.ศ.2490 จำเลยซื้อและรับโอนที่ดินกับตึกแถวดังกล่าวโดยสุจริตซึ่งจำเลยเห็นว่าหากตึกแถวดังกล่าวรุกล้ำจริงตามนัยแห่งบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องการปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นผู้ปลูกสร้างยังคงเป็นเจ้าของโรงเรือนที่ปลูกสร้างขึ้นแต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้นและจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม โดยโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยรื้อถอนตึกแถวส่วนที่รุกล้ำ การที่โจทก์ทั้งสองแก้ไขโฉนดที่ดินของจำเลยฉบับสำนักงานที่ดินนั้นเป็นการไม่ชอบ จำเลยไม่มีหน้าที่นำโฉนดที่ดินฉบับเจ้าของที่ดินไปจดแก้รายการทางทะเบียน ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ทั้งสองร่วมกันแก้ไขทะเบียนและรูปแผนที่โฉนดที่ดินเลขที่ 3491, 8961 และ 8962 ตำบลป้อมปรายศัตรูพ่าย อำเภอป้อมปราบศตรูพ่าย (สามเพ็ง) กรุงเทพมหานคร ซึ่งโจทก์ได้กระทำไปในโฉนดที่ดิน ฉบับสำนักงานที่ดินไปแล้วให้กลับคืนสภาพเดิม หากโจทก์ทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่มีอำนาจฟ้องแย้งให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันแก้ไขทะเบียนในโฉนดที่ดินของจำเลยฉบับสำนักงานที่ดินเนื่องจากโจทก์ทั้งสองมิได้เป็นผู้แก้ไขทะเบียนดังกล่าว แต่เป็นการกระทำของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ ที่ดินพิพาทตกเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินและเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว แต่เนื่องจากความบกพร่องในการรังวัดแนวเขตทำให้ที่ดินที่เหลือจากการเวนคืนมีเนื้อที่มากกว่าความเป็นจริง แม้จำเลยจะปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยสุจริตก็ตาม ก็ไม่อาจอ้างสิทธิจดทะเบียนภาระจำยอมได้ เพราะการขอจดทะเบียนภาระจำยอมนั้นจะนำมาใช้แก่สาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ได้ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนตึกแถวเลขที่ 169, 171 และ173 ถนนพลับพลาไชย แขวงป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ส่วนที่รุกล้ำที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าวในฟ้องของโจทก์ทั้งสองและให้จำเลยออกจากที่ดินดังกล่าว หากจำเลยไม่รื้อถอน ให้โจทก์ทั้งสองรื้อถอนได้เอง โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ให้จำเลยนำโฉนดที่ดินเลขที่ 3491, 8961, 8962 ตำบลป้อมปราบศัตรูพ่าย อำเภอป้อมปราบศัตรูพ่าย (สามเพ็ง) จังหวัดพระนคร ฉบับเจ้าของที่ดินส่งมอบแก่เจ้าพนักงานที่ดิน สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร เพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินกันเขตรูปแผนที่และจดแจ้งรายการแก้ทะเบียนประเภทแบ่งเวนคืนให้ถูกต้องตรงกับโฉนดที่ดินดังกล่าวฉบับสำนักงานที่ดิน หากจำเลยไม่ยินยอมให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินพบโฉนดที่ดินดังกล่าวฉบับเจ้าของที่ดินให้มีอำนาจแก้ไขได้เอง ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ยกฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลย ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยชอบหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 บัญญัติว่า “การอุทธรณ์นั้นให้ทำเป็นหนังสือยื่นต่อศาลชั้นต้นซึ่งมีคำพิพากษาหรือคำสั่งภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพากษาหรือคำสั่งนั้น และผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้นด้วย” สำหรับฟ้องโจทก์ทั้งสองศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีและให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสองโดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท จำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติโดยนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ของจำเลยตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว เมื่อจำเลยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ทั้งสองมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ของจำเลย จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจะอ้างว่าจำเลยชำระค่าธรรมเนียมตามที่เจ้าหน้าที่ศาลคิดคำนวณหาได้ไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนนี้ชอบแล้ว ส่วนฟ้องแย้งนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นกำหนดให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ จึงไม่มีเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา จำเลยไม่ได้ปฏิบัติฝ่าฝืนต่อบทบัญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนฟ้องแย้งจึงไม่ถูกต้อง ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่พิพากษายกฟ้องแย้งแล้วส่งสำนวนคืนไปยังศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้ศาลอุทธรณ์รวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่

Share