คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2199/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้อำนวยการองค์การฟอกหนังมีนโยบายที่จะเชื่อมความสามัคคีระหว่างองค์การฟอกหนังกับรัฐวิสาหกิจอื่นโดยยอมรับการแข่งขันกีฬาเป็นสื่อสัมพันธ์ การกีฬาย่อมเป็นงานอย่างหนึ่งขององค์การฟอกหนัง เมื่อผู้อำนวยการองค์การฟอกหนังได้แต่งตั้งให้ผู้ตายเป็นนักกีฬาตัวแทนขององค์การฯ โดยให้มีสิทธิฝึกซ้อมวันเวลาใดก็ได้ในช่วงก่อนการแข่งขัน จึงเป็นกรณีที่ผู้ตายได้รับมอบหมายให้ทำงานให้แก่องค์การฟอกหนัง เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายในขณะฝึกซ้อมตามที่ได้รับอนุญาต และสาเหตุแห่งการตายเนื่องจากออกกำลังกาย เกินควร ต้องถือว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้าง ทายาทของผู้ตายย่อมมีสิทธิได้รับเงินทดแทน.
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 54วรรคสาม กำหนดการจ่ายค่าทดแทนต้องไม่ต่ำกว่าเดือนละหนึ่งพัน บาทและไม่เกินกว่าเดือนละหกพัน บาทนั้น มีสภาพใช้บังคับอย่างกฎหมาย ซึ่งศาลต้องรู้เอง แม้จำเลยจะมิได้ให้การต่อสู้ไว้ ศาลก็ไม่มีอำนาจพิพากษาให้นายจ้างรับผิดเกินกว่าบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายมนูศักดิ์ พรรณรักษ์ เป็นลูกจ้างประจำขององค์การฟอกหนังซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงกลาโหมครั้งสุดท้ายทำงานในตำแหน่งรองหัวหน้าฝ่ายธุรการ ได้รับค่าจ้างเดือนละ 10,610 บาท โรงงานเภสัชกรรมทหาร สังกัดกระทรวงกลาโหมได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาสามัคคีซอยตรีมิตร ครั้งที่ 3ระหว่างหน่วยงานภายในสังกัดกระทรวงกลาโหมตามนโยบายของกระทรวงกลาโหม และได้เชิญองค์การฟอกหนังเข้าร่วมการแข่งขันด้วยองค์การฟอกหนังแต่งตั้งให้นายมนูศักดิ์ พรรณรักษ์ เป็นกรรมการกีฬาและเป็นนักกีฬาแบดมินตัน เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2530 เวลา 16.50นาฬิกา นายมนูศักดิ์ พรรณรักษ์ กำลังฝึกซ้อมแบดมินตันอยู่เกิดมีอาการหน้ามืดเป็นลมและถึงแก่กรรมก่อนที่จะนำส่งถึงโรงพยาบาลโจทก์ทั้งสามในฐานะทายาทได้ยื่นคำขอรับเงินทดแทนต่อสำนักงานกองทุนเงินทดแทนกรมแรงงาน แต่สำนักงานกองทุนเงินทดแทนได้มีคำวินิจฉัยว่านายมนูศักดิ์ พรรณรักษ์ มิได้ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานให้แก่องค์การฟอกหนังนายจ้าง โจทก์จึงอุทธรณ์คำวินิจฉัยของสำนักงานกองทุนเงินทดแทนต่อคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนได้มีมติยืนตามคำวินิจฉัยของสำนักงานกองทุนเงินทดแทน ซึ่งโจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยเพราะนายมนูศักดิ์พรรณรักษ์ ได้ประสบอันตรายถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้าง โจทก์มีสิทธิได้รับค่าทำศพและค่าทดแทนตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำวินิจฉัยและมติของจำเลยและพิพากษาว่านายมนูศักดิ์พรรณรักษ์ ประสบอันตรายถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้าง ให้จำเลยจ่ายค่าทดแทนเดือนละ 6,366 บาท มีกำหนด 5 ปีนับแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2530 เป็นเงิน 381,960 บาท กับค่าทำศพผู้ตาย เป็นเงิน 10,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 391,960 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสาม
จำเลยให้การว่า องค์การฟอกหนังสังกัดกระทรวงกลาโหมมิได้มีวัตถุประสงค์ในการแข่งขันกีฬา การจัดการแข่งขันกีฬาเป็นนโยบายที่ได้ให้มีการสามัคคีและเสริมสร้างพลานามัยของพนักงานเอง โดยผู้ที่จะเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาจะต้องคำนึงถึงสุขภาพของตนเองเป็นหลักว่าสามารถจะเล่นกีฬาชนิดใดได้ และไม่เป็นการบั่นทอนสุขภาพของตนเอง ทั้งนี้เป็นไปโดยความสมัครใจ หากเห็นว่าสุขภาพของตนเองไม่ไหวก็ไม่บังคับให้เล่น นายมนูศักดิ์ พรรณรักษ์ ถึงแก่กรรมเนื่องจากมีโรคประจำตัวไม่ใช่เกิดจากการเล่นกีฬา การที่นายมนูศักดิ์ พรรณรักษ์ ถึงแก่กรรมมิใช่เป็นเรื่องลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย หรือเจ็บป่วยถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างหรือป้องกันรักษาประโยชน์ให้แก่นายจ้าง เป็นเรื่องที่นายมนูศักดิ์ พรรณรักษ์ ไปฝึกซ้อมกีฬาแบดมินตันในวันนอกวันทำการเพื่อสุขภาพของตนเอง และมิใช่โดยคำสั่งขององค์การฟอกหนังนายจ้าง ทั้งนี้นายมนูศักดิ์ พรรณรักษ์ กับพวก ได้จัดการฝึกซ้อมกันเอง และการเล่นกีฬามิใช่เป็นการทำงานขององค์การฟอกหนังนายจ้าง ในวันเกิดเหตุก็เป็นวันหยุดราชการ นายมนูศักดิ์ พรรณรักษ์ จะไม่ไปซ้อมกีฬาแบดมินตันก็ไม่มีความผิดใด ๆ เกี่ยวกับการทำงาน สนามแบดมินตันที่ไปเล่นนั้นก็ไม่ใช่สนามขององค์การฟอกหนังที่จัดให้มีการฝึกซ้อมกัน ฉะนั้นทายาทของนายมนูศักดิ์ พรรณรักษ์ จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ไม่มีเหตุที่จะถูกเพิกถอน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นการส่วนตัวเพราะการที่โจทก์จะฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน โจทก์ต้องฟ้องกรมแรงงานหรือคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน ซึ่งเป็นผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์โดยตรง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องอธิบดีกรมแรงงานเป็นจำเลยในกรณีนี้ได้ การที่นายมนูศักดิ์ พรรณรักษ์ลูกจ้างขององค์การฟอกหนังถึงแก่ความตายนั้นข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ตายได้รับแต่งตั้งจากผู้อำนวยการองค์การฟอกหนังให้เป็นนักกีฬาตัวแทนขององค์การฯประเภทกีฬาแบดมินตัน มีสิทธิฝึกซ้อมตามวันที่กำหนดไว้ได้ทุกเวลาเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายในขณะฝึกซ้อมเพราะเหตุที่ออกกำลังกายเกินควร ไม่ใช่ เพราะผู้ตายมีโรคประจำตัวแล้วต้องถือว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้าง โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นทายาทของผู้ตายมีสิทธิได้รับเงินทดแทน พิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของสำนักงานกองทุนเงินทดแทนและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน ให้จำเลยจ่ายค่าทดแทนเดือนละ 6,366 บาท มีกำหนด5 ปี นับแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2530 กับจ่ายค่าทำศพผู้ตายเป็นเงิน10,000 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสาม
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่าการที่ผู้ตายถึงแก่ความตาย นั้น เป็นกรณีที่ถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้าง หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า วัตถุประสงค์ของรัฐวิสาหกิจซึ่งระบุไว้ในกฎหมายจัดตั้งนั้น เป็นเพียงการกำหนดประเภทของกิจการซึ่งรัฐวิสาหกิจจะดำเนินกิจการเท่านั้น งานของรัฐวิสาหกิจมิได้จำกัดอยู่แต่ในเฉพาะขอบเขตที่ระบุเป็นวัตถุประสงค์ไว้ในกฎหมายจัดตั้ง แม้พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การฟอกหนัง พ.ศ. 2498 มิได้กำหนดให้องค์การฟอกหนังมีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการกีฬาไว้ก็ตาม แต่กรณีที่ผู้อำนวยการองค์การฟอกหนังมีนโยบายที่จะเชื่อมความสามัคคีระหว่างองค์การฟอกหนังกับรัฐวิสาหกิจอื่น โดยยอมรับการแข่งขันกีฬาเป็นสื่อสัมพันธ์แล้ว การกีฬาย่อมเป็นงานอย่างหนึ่งขององค์การฟอกหนัง เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางว่า ผู้อำนวยการองค์การฟอกหนังได้แต่งตั้งให้ผู้ตายเป็นนักกีฬาตัวแทนขององค์การฯ โดยให้มีสิทธิฝึกซ้อมวันเวลาใดก็ได้ในช่วงตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2530 ถึงวันที่ 22 ธันวาคม 2530 แล้วจึงเป็นกรณีที่ผู้ตายได้รับมอบหมายให้ทำงานให้แก่องค์การฟอกหนังเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายในขณะฝึกซ้อมตามที่ได้รับอนุญาต และสาเหตุแห่งการตายเนื่องจากออกกำลังกายเกินควรแล้ว ต้องถือว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นทายาทมีสิทธิได้รับเงินทดแทน…
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า การที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าทดแทนให้แก่โจทก์ทั้งสามเดือนละ 6,366 บาทนั้น เป็นการไม่ชอบด้วยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดการจ่ายค่าทดแทน(ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2525 ข้อ 4 เห็นว่าประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 54(4) ที่แก้ไขแล้ว บัญญัติว่า เมื่อลูกจ้างประสบอันตราย หรือเจ็บป่วยจนถึงแก่ความตาย ให้นายจ้างจ่ายค่าทดแทนเป็นรายเดือนร้อยละหกสิบของค่าจ้างรายเดือน มีกำหนดห้าปีแต่ต้องไม่น้อยกว่าค่าทดแทนรายเดือนต่ำสุด และไม่มากกว่าค่าทดแทนรายเดือนสูงสุดตามที่กระทรวงมหาดไทยจะได้กำหนด ซึ่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องกำหนดการจ่ายค่าทดแทน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 แก้ไขโดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดการจ่ายค่าทดแทน (ฉบับที่ 2)ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2525 ข้อ 4 ก็ได้บัญญัติว่า กรณีจะเป็นประการใดก็ตาม ค่าทดแทนตามข้อ 54 วรรคสาม แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ต้องไม่ต่ำกว่าเดือนละหนึ่งพันบาทและไม่เกินเดือนละหกพันบาท ซึ่งมีความหมายว่า กรณีที่ลูกจ้างประสบอันตรายถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างนั้นนายจ้างต้องจ่ายค่าทดแทนร้อยละหกสิบของค่าจ้างรายเดือน แต่ต้องไม่ต่ำกว่าเดือนละหนึ่งพันบาทและไม่เกินเดือนละหกพันบาท มีกำหนดห้าปี ประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวนี้มีสภาพใช้บังคับอย่างกฎหมายซึ่งศาลต้องรู้เอง แม้จำเลยจะมิได้ให้การต่อสู้ไว้ ศาลก็ไม่มีอำนาจพิพากษาให้นายจ้างรับผิดเกินกว่าบทบัญญัติของกฎหมาย การที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าทดแทนให้แก่โจทก์ทั้งสามเดือนละ 6,366 บาท เนื่องจากนายมนูศักดิ์ พรรณรักษ์ ผู้ตายได้รับค่าจ้างเดือนละ 10,610 บาทนั้น จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าทดแทนให้แก่โจทก์ทั้งสามเดือนละ 6,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share