แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
รถยนต์พิพาทเป็นของบุคคลภายนอกซึ่งมีผู้เช่าซื้อ และผู้เช่าซื้อนั้นทำสัญญาขายให้จำเลย แล้วจำเลยทำสัญญาขายให้โจทก์และมอบรถยนต์พิพาทให้โจทก์ในวันทำสัญญาโจทก์ผ่อนชำระเงินให้จำเลยแล้วบางส่วน ต่อมาผู้เช่าซื้อผิดสัญญาเจ้าของที่แท้จริงมายึดรถยนต์พิพาทไปจากโจทก์ ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์ผู้ซื้อถูกรอนสิทธิ จำเลยต้องรับผิดจะอ้างว่าจำเลยไม่รู้เห็นยินยอมด้วยในการยึดหรือเป็นเหตุสุดวิสัยหาได้ไม่
เมื่อโจทก์ถูกรอนสิทธิและฟ้องเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนจากจำเลยจำเลยมิได้ต่อสู้ขอหักค่าที่โจทก์ใช้รถยนต์พิพาท ศาลจะพิพากษาให้หักค่ารถจากเงินที่จำเลยคืนหาได้ไม่ เพราะไม่มีประเด็น
โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนและเรียกค่าเสียหายโดยมิได้ขอดอกเบี้ยศาลจะพิพากษาให้โจทก์ได้ดอกเบี้ยมิได้ (เพราะเกินคำขอ)
โจทก์ถูกยึดรถยนต์ที่ซื้อคืนไป โจทก์จะเรียกค่าเสียหายที่ขาดรายได้จากการที่เคยใช้รถยนต์พิพาทออกฉายภาพยนตร์เร่มิได้ เพราะโจทก์อาจใช้รถยนต์อื่นได้ รายได้จากการฉายภาพยนตร์เร่ มิใช่ค่าเสียหายโดยตรง
โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะชำระราคารถยนต์พิพาทให้จำเลยไปแล้ว 30,000 บาท แต่ไม่ได้กรรมสิทธิ์รถยนต์ ไม่ได้ใช้รถยนต์เป็นการตอบแทนหนี้เงินนั้นนอกจากจะเรียกดอกเบี้ย ยังอาจพิสูจน์ค่าเสียหายอื่นได้อีกด้วย การที่โจทก์ชำระเงินให้จำเลยไปก็โดยหวังจะได้ใช้รถยนต์พิพาทเป็นการตอบแทนโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า เมื่อโจทก์ถูกรอนสิทธิก็ชอบที่จะได้รับชดใช้ค่าเสียหายโดยคำนวณจากค่าเช่ารถยนต์ที่โจทก์เคยเช่าออกฉายภาพยนตร์เร่
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายนับแต่วันถูกรอนสิทธิจนกว่าจำเลยจะชำระเงินคืนแก่โจทก์ แต่ฎีกาขอค่าเสียหายมาเพียง 11 วัน ศาลฎีกาย่อมจะพิพากษาให้ค่าเสียหายตามจำนวนวันที่ขอมาในฎีกา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ขายรถยนต์พิพาทให้โจทก์ในราคา 40,000 บาทโจทก์ชำระในวันทำสัญญา 10,000 บาท ที่เหลือตกลงผ่อนชำระเดือนละ2,000 บาท จำเลยได้ส่งมอบรถยนต์ให้โจทก์ในวันทำสัญญา และโจทก์ได้ชำระเงินให้จำเลยรวม 30,000 บาท ต่อมามีบุคคลภายนอกมายึดรถยนต์ไป อ้างว่าไม่ใช่ของจำเลยทำให้โจทก์เสียหาย ขาดรายได้วันละ 1,500 บาท ขอให้บังคับจำเลยคืนเงิน 30,000 บาท กับใช้ค่าเสียหายนับแต่วันรถยนต์ถูกยึดจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ตกลงซื้อรถยนต์พิพาทโดยรู้ว่าจำเลยตกลงซื้อจากนางบ่วยและนางบ่วยเช่าซื้อจากห้างหุ้นส่วนจำกัดย่งเซ่งฮวดยังชำระเงินไม่หมด การที่รถยนต์ถูกยึด จำเลยไม่รู้เห็นยินยอมและเป็นเหตุสุดวิสัยทั้งโจทก์ผิดนัดชำระเงิน โจทก์เสียหายไม่เกินวันละ 50 บาท
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและไม่บอกเลิกสัญญาจำเลยไม่มีหน้าที่คืนเงินและใช้ค่าเสียหาย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดย่งเซ่งฮวดยึดรถยนต์พิพาทไป จำเลยต้องรับผิดในการรอนสิทธิ ต้องคืนเงิน 30,000บาท และใช้ค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ย แต่โจทก์ใช้รถยนต์มา 10 เดือนต้องหักค่าใช้รถเป็นเงินรวม 20,000 บาท พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยใช้เงิน 10,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่ วันที่ 17 มีนาคม 2510 จนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์จำเลยต่างฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า รถยนต์พิพาทเป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัดย่งเซ่งฮวด นางบ่วยเช่าซื้อมาและทำสัญญาขายให้จำเลย แล้วจำเลยทำสัญญาขายให้โจทก์ในราคา 40,000 บาท และมอบรถยนต์พิพาทให้โจทก์ในวันทำสัญญาจะโอนทะเบียนให้เมื่อชำระเงินครบ โจทก์ชำระเงินแล้วรวม 30,000 บาท ต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัดย่งเซ่งฮวดได้มายึดรถยนต์คืนไปเพราะนางบ่วยผิดสัญญาเช่าซื้อ ขณะโจทก์ตกลงซื้อ โจทก์ไม่ทราบว่ารถยนต์พิพาทเป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัดย่งเซ่งฮวด
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อรถยนต์พิพาทที่โจทก์ซื้อจากจำเลยและอยู่ในความครอบครองของโจทก์ถูกเจ้าของอันแท้จริงซึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์นี้ติดตามยึดเอาไปเช่นนี้ โจทก์จึงถูกรอนสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 475 จำเลยต้องรับผิด ที่จำเลยอ้างว่าจำเลยไม่รู้เห็นยินยอมด้วยในการที่โจทก์ถูกยึดรถก็ดี และเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยจะห้ามได้ก็ดี หาเป็นข้อที่จะให้จำเลยพ้นความรับผิดไปได้ไม่
ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ใช้รถยนต์พิพาท 10 เดือน ต้องใช้เงินค่าใช้รถให้จำเลยเดือนละ 2,000 บาท รวม 20,000 บาท และหักเงินจำนวนนี้ออกโดยจำเลยไม่ต้องรับผิดนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีไม่มีประเด็นจะหักเงินจำนวนนี้หาได้ไม่
ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่ส่งเงินค่ารถยนต์พิพาทงวดเดือนกุมภาพันธ์ 2511 ซึ่งถึงกำหนดชำระวันที่ 16 นั้น ปรากฏว่ารถยนต์พิพาทถูกยึดไปจากโจทก์ตั้งแต่วันที่ 8 ก่อนถึงกำหนดชำระโจทก์จึงชอบที่จะไม่ชำระเงินดังกล่าว หาเป็นการผิดสัญญาไม่
ในปัญหาค่าเสียหาย ที่ศาลอุทธรณ์ให้คิดดอกเบี้ยนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มิได้มีคำขอเรื่องดอกเบี้ยมาในฟ้อง จำเลยจึงไม่ต้องเสียดอกเบี้ยโจทก์ฎีกาขอค่าเสียหายมาเพียง 11 วัน ๆ ละ 1,500 บาท ซึ่งโจทก์ขาดรายได้จากการใช้รถยนต์พิพาทออกเร่ฉายภาพยนตร์ได้เงินสุทธิวันละ 1,500 บาท
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การฉายภาพยนตร์เร่นั้น แม้โจทก์จะมิได้ใช้รถยนต์พิพาท ก็อาจใช้รถยนต์อื่นได้ ดังนั้น รายได้จากการฉายภาพยนตร์เร่จึงมิใช่ค่าเสียหายโดยตรง อนึ่ง รถยนต์พิพาทก็มิได้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และถูกเจ้าของที่แท้จริงยึดคืนไปแล้ว แต่ตามฟ้องโจทก์ที่เรียกค่าเสียหายก็พอฟังได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเพราะชำระราคารถยนต์ให้จำเลยไปแล้วถึง 30,000 บาท แต่ไม่ได้ใช้รถยนต์เป็นการตอบแทน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224หนี้เงินนั้น นอกจากจะเรียกดอกเบี้ยแล้ว ยังอาจพิสูจน์ค่าเสียหายอื่นได้อีกด้วย โจทก์เบิกความว่าเคยเช่ารถยนต์ฉายภาพยนตร์เร่เสียค่าเช่าวันละ 100 บาท การที่โจทก์ชำระเงินให้จำเลยก็โดยหวังจะได้ใช้รถยนต์พิพาทเป็นการตอบแทน โดยไม่ต้องเสียค่าเช่าเมื่อโจทก์ถูกรอนสิทธิก็ชอบที่จะได้รับชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดให้วันละ100 บาท และให้เพียง 11 วันตามที่โจทก์ฎีกาขอมาเป็นเงิน 1,100 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ 31,100 บาท