แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยฐานเบิกความเท็จ โดยบรรยายฟ้องว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดี มิได้บรรยายรายละเอียดว่าข้อความอันเป็นเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีก่อนอย่างไร แต่โจทก์ก็ได้บรรยายถึงการเบิกความอย่างไรเป็นความเท็จและความจริงเป็นอย่างไร ซึ่งในคดีที่จำเลยเบิกความนั้น ส. ถูกฟ้องเป็นจำเลยข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ข้อที่ว่า ส. เป็นคนร้ายฆ่าผู้ตายหรือไม่เป็นข้อสำคัญในคดีดังกล่าว เมื่อความจริง ส. ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แต่จำเลยเบิกความว่าไม่ได้หันไปดูว่าใครเป็นคนยิงและถูกยิง ไม่เห็นเหตุการณ์ขณะที่มีการยิงกัน คำเบิกความของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องดังกล่าวย่อมเป็นข้อสำคัญในคดีที่เข้าใจได้อยู่ในตัวเอง ฟ้องโจทก์จึงมีรายละเอียดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้สาบานตัวเข้าเบิกความเป็นพยานโจทก์ต่อศาลอาญาธนบุรี ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3166/2540 ระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์ จ่าสิบตำรวจสมจิตรบุญเกลือ จำเลย ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองและพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดที่มีระวางโทษถึงประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต โดยจำเลยได้เบิกความตอบคำถามของพนักงานอัยการโจทก์ในชั้นศาลว่า “ในวันเกิดเหตุขณะทานข้าว นั่งหันหลังไม่ได้ยินเสียงโต้เถียง นั่งทานข้าว 1 ชั่วโมง เมื่อได้ยินเสียงปืนได้วิ่งหนีตัวใครตัวมัน ไม่ได้หันไปดูว่าใครเป็นคนยิงและถูกยิงไม่เห็นเหตุการณ์ขณะที่มีการยิงกัน” ซึ่งคำเบิกความของจำเลยดังกล่าวเป็นความเท็จในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาล และความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี เพราะความจริงแล้วในวันเกิดเหตุขณะนั่งรับประทานอาหาร จำเลยได้ยินเสียงคนทะเลาะกันและเห็นนายจิตรไม่ทราบนามสกุลซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะดังกล่าวลุกขึ้นยืน และเรียกนายโป้งไม่ระบุนามสกุลกับนายโอ ไม่ระบุนามสกุล ซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกันว่าถ้ามีปัญหาอะไรให้ออกมาข้างนอกนายโป้งและนายโอไม่ยอมออกยังนั่งอยู่ที่เดิม จำเลยเกรงว่าจะมีเรื่องจึงเดินเข้าไปห้าม โดยเข้าไปขวางและดึงตัวนายจิตรออกมาและได้บอกนายโป้งว่า นายจิตรเป็นตำรวจนะให้ขอโทษแต่นายจิตรไม่ยอมออกมา และได้เข้าไปเตะนายโป้งที่ต้นคอ1 ครั้ง จำเลยจึงได้ดึงนายจิตรออกมา แต่นายจิตรไม่ยอมออกมาคงนั่งอยู่ที่โต๊ะดังกล่าวต่อไป จากนั้นประมาณ 3 นาที จำเลยเห็นนายโป้งหยิบขวดเบียร์บนโต๊ะตีนายจิตร นายจิตรใช้มือปัดพร้อมกับลุกขึ้นถอยหลังออกมาแล้วใช้มือขวาชักอาวุธปืนออกจากกระเป๋าด้านหน้าข้างขวา เป็นอาวุธปืนสีขาวแม็กกาซีนชี้และยิงไปที่นายโป้ง 1 นัด นายโป้งล้มลง นายจิตรได้เข้าไปหานายโป้งในระยะห่างประมาณ 1 เมตร และได้จ่อยิงนายโป้งบริเวณศีรษะอีก 1 นัด จากนั้นนายจิตรหลบหนีไป ซึ่งจำเลยได้เคยให้การดังกล่าวไว้แก่ร้อยตำรวจเอกอาวุธ อุดมรัตน์พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลราษฎร์บูรณะ เมื่อวันที่ 19พฤศจิกายน 2539 คำเบิกความของจำเลยในชั้นพิจารณาของศาลจึงเป็นความเท็จ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177, 181
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 181(2) จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าฟ้องโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) หรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องบรรยายว่าจำเลยเบิกความเป็นพยานในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3166/2540 ระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์ จ่าสิบตำรวจสมจิตรบุญเกลือ จำเลย ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองและพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดที่มีระวางโทษถึงประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต จำเลยเบิกความในชั้นศาลว่า “ในวันเกิดเหตุขณะทานข้าวนั่งหันหลังไม่ได้ยินเสียงโต้เถียง นั่งทานข้าว 1 ชั่วโมง เมื่อได้ยินเสียงปืนได้วิ่งหนีตัวใครตัวมัน ไม่ได้หันไปดูว่าใครเป็นคนยิงและถูกยิงไม่เห็นเหตุการณ์ขณะที่มีการยิงกัน” ซึ่งคำเบิกความของจำเลยดังกล่าวเป็นความเท็จในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาล และความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี เพราะความจริงแล้วในวันเกิดเหตุ ขณะนั่งรับประทานอาหารจำเลยได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน และเห็นนายจิตรไม่ทราบนามสกุลซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะดังกล่าวลุกขึ้นยืนและเรียกนายโป้งกับนายโอซึ่งนั่งอยู่โต๊ะเดียวกันว่าถ้ามีปัญหาอะไรให้ออกมาข้างนอกนายโป้งและนายโอไม่ยอมออกยังนั่งอยู่ที่เดิม จำเลยเกรงว่าจะมีเรื่อง จึงได้เดินเข้าไปห้าม โดยเข้าไปขวาง และดึงตัวนายจิตรออกมา และได้บอกนายโป้งว่า นายจิตรเป็นตำรวจนะให้ขอโทษ แต่นายจิตรไม่ยอมออกมาและได้เข้าไปเตะนายโป้งที่ต้นคอ 1 ครั้ง จำเลยจึงได้ดึงนายจิตรออกมา แต่นายจิตรไม่ยอมออกมาคงนั่งอยู่ที่โต๊ะดังกล่าวต่อไป จากนั้นประมาณ3 นาที จำเลยเห็นนายโป้งหยิบขวดเบียร์บนโต๊ะตีนายจิตรนายจิตรใช้มือปัด พร้อมกับลุกขึ้นถอยหลังออกมาและใช้มือขวาชักอาวุธปืนจากกระเป๋าด้านหลังข้างขวาเป็นอาวุธปืนสีขาวแม็กกาซีนชี้และยิงไปที่นายโป้ง 1 นัด และนายโป้งล้มลงนายจิตรได้เข้าไปหานายโป้งในระยะห่างประมาณ 1 เมตรและได้จ่อยิงนายโป้งบริเวณศีรษะอีก 1 นัด จากนั้นนายจิตรได้หลบหนีไป แม้คดีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องเพียงว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีโดยมิได้บรรยายรายละเอียดว่าข้อความอันเป็นเท็จที่จำเลยเบิกความเป็นข้อสำคัญในคดีก่อนอย่างไรก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้บรรยายถึงการเบิกความอย่างไรเป็นความเท็จและความจริงเป็นอย่างไร ซึ่งในคดีที่จำเลยเบิกความนั้น จ่าสิบตำรวจสมจิตร บุญเกลือ ถูกฟ้องเป็นจำเลยข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่ได้รับอนุญาตข้อที่ว่าจ่าสิบตำรวจสมจิตรเป็นคนร้ายฆ่าผู้ตายโดยใช้อาวุธปืนยิงหรือไม่นั้นเป็นข้อสำคัญในคดีดังกล่าวเมื่อความจริงจำเลยเห็นว่านายจิตร (ซึ่งหมายถึงจ่าสิบตำรวจสมจิตร) ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแล้วมาเบิกความว่าไม่ได้หันไปดูว่าใครเป็นคนยิงและถูกยิงไม่เห็นเหตุการณ์ขณะที่มีการยิงกันคำเบิกความของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องย่อมเป็นข้อสำคัญในคดีที่เข้าใจได้อยู่ในตัวเองฟ้องโจทก์จึงมีรายละเอียดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นแต่เนื่องจากคดีนี้จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดฐานเบิกความเท็จตามฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) โดยยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานเบิกความเท็จตามฟ้องหรือไม่ เพื่อให้การวินิจฉัยความผิดของจำเลยเป็นไปตามลำดับศาลเพราะผลแห่งการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิการฎีกาของคู่ความได้ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208(2)ประกอบด้วยมาตรา 225″
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี