คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2198/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อศาลว่า จำเลยยอมออกจากบ้านพิพาทภายในกำหนด 3 เดือนนับแต่วันทำสัญญาในวันที่จำเลยขนย้ายออกจากบ้านโจทก์โจทก์ยอมจ่ายเงินให้จำเลยหนึ่งหมื่นบาททันที พ้นกำหนดแล้วจำเลยไม่ยอมออกไปตามสัญญายอมจนโจทก์ขอให้ศาลบังคับให้จับจำเลยมาขังไว้จนกว่าจำเลยจะออกไปดังนี้ สัญญายอมดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อจำเลยมิได้ปฏิบัติตามสัญญา และการที่จำเลยออกจากบ้านพิพาทเพราะการบังคับคดีของศาล โจทก์จึงมิต้องจ่ายเงินหนึ่งหมื่นบาทให้จำเลย
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 26/2514)

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อศาลเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2511 ว่าจำเลยยอมออกจากบ้านพิพาทของโจทก์ภายในกำหนด 3 เดือนนับแต่วันทำสัญญานี้ และในวันที่จำเลยขนย้ายออกจากบ้านโจทก์ โจทก์ยอมจ่ายเงินให้จำเลยหนึ่งหมื่นบาททันที ครบกำหนดตามสัญญายอมแล้วจำเลยไม่ยอมออกไป วันที่ 8 ตุลาคม 2511 โจทก์ขอให้ศาลหมายจับจำเลยมาคุมขังไว้จนกว่าจะปฏิบัติตามสัญญายอมนั้น ส่วนเงินหนึ่งหมื่นบาทนั้น เมื่อจำเลยขนย้ายออกจากบ้านของโจทก์แล้ว โจทก์ยินดีจ่ายให้จำเลยตามสัญญายอมทันที ศาลชั้นต้นส่งหมายเรียกจำเลยมาสอบถามก่อน ถึงวันนัดจำเลยแถลงขออยู่ต่อไปอีก 3 เดือนโจทก์อนุญาตให้จำเลยอยู่ได้ถึงวันที่ 20 เดือนหน้า (ธันวาคม) เท่านั้น ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ยอมออกไป ศาลสั่งให้หมายจับจำเลยจำเลยแถลงว่าโจทก์ยังไม่จ่ายเงินหนึ่งหมื่นบาทให้ตามยอมจึงไม่ออกไปศาลสั่งขังจำเลย จำเลยขอประกันตัว ต่อมาจำเลยออกไปจากบ้านพิพาทในวันที่ 16 เมษายน 2512

ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องต่อศาลขอให้โจทก์จ่ายเงินหนึ่งหมื่นบาทตามสัญญายอมศาลสั่งยกคำร้องจำเลยเพราะเหตุว่าจำเลยออกไปจากห้องพิพาทโดยหมายจับ หมายบังคับของศาล มิได้ออกไปด้วยความสมัครใจตามสัญญายอม และออกไปเมื่อเกินกำหนด 3 เดือนแล้วจึงหมดสิทธิ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความว่าจำเลยยอมออกไปจากบ้านพิพาทของโจทก์ภายใน 3 เดือน นับแต่วันทำสัญญานี้ และในวันที่จำเลยขนย้ายออกจากบ้านโจทก์โจทก์ยอมจ่ายเงินให้จำเลยหนึ่งหมื่นบาททันที ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2511 ซึ่งจะครบกำหนด 3 เดือนในวันที่2 ตุลาคม 2511 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จำเลยจะต้องออกจากบ้านของโจทก์ถ้าจำเลยออกก็เป็นวันที่โจทก์จะต้องจ่ายเงินหนึ่งหมื่นบาทให้แก่จำเลยด้วย สัญญายอมเช่นนี้จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนอันมีกำหนดเวลาที่แน่นอน คือ ภายใน 3 เดือน ถ้าจำเลยขนย้ายออกจากบ้านโจทก์ในวันไหน โจทก์ก็ต้องจ่ายเงินให้จำเลยในวันนั้น จนวันที่ 8 ตุลาคม 2511หลังจากพ้นกำหนดเวลาตามสัญญาไปแล้ว 6 วัน จำเลยยังไม่ออกจากบ้านโจทก์ ซึ่งถ้าถือเคร่งครัดตามสัญญาประนีประนอมดังกล่าวแล้วจำเลยย่อมหมดสิทธิที่จะได้เงินหนึ่งหมื่นบาทจากโจทก์ แต่โจทก์ยังแสดงเจตนาดีที่จะจ่ายเงินจำนวนนี้ให้จำเลยอีกหากจำเลยขนย้ายออกไปจากบ้านโจทก์ในทันที เมื่อจำเลยขออยู่ต่ออีก 3 เดือน โจทก์อนุญาตให้อยู่ได้ถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2511 แล้ว จำเลยก็หาได้ออกไปไม่จนโจทก์ต้องขอให้จับจำเลยมาขังไว้และประกันตัวไปดังนี้ แสดงว่าจำเลยมิได้ปฏิบัติตามสัญญานั้นเลย การที่จำเลยออกจากห้องพิพาทก็เพราะการบังคับคดีของศาล ฉะนั้น โจทก์จึงมิต้องจ่ายเงินหนึ่งหมื่นบาทให้จำเลย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share