คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1733/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทำเอกสารมีข้อความเป็นเท็จทั้งสิ้น และจำเลยเซ็นชื่อรับรองว่าเป็นสำเนาอันถูกต้อง แม้ต้นฉบับอันแท้จริงไม่มี ก็เท่ากับเป็นการปลอมเอกสารขึ้นทั้งหมดเพื่อให้เห็นว่าคัดมาจากต้นฉบับที่แท้จริง ถือได้ว่าเป็นการทำเอกสารปลอม
(อ้างฎีกาที่ 1472/2496)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทำสำเนาบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมที่ดิน (ท.ด.๗๐) อันเป็นเอกสารสิทธิปลอมขึ้นทั้งฉบับ และใช้เอกสารสิทธิที่ทำปลอมขึ้นนั้นด้วย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๘
บริษัทสยามเฮ้าซิ่ง จำกัด ร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕, ๒๖๘ ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๖๘ กระทงเดียว จำคุก ๓ ปี นับโทษต่อจากโทษในคดีอาญาแดงที่ ๔๒๐๖/๒๕๑๐ ของศาลชั้นต้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาทั้งปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งผู้พิพากษาที่พิจารณาพิพากษาคดีในศาลชั้นต้นรับรองอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้ทำเอกสาร จ.๑ ถึง จ.๑๓ สำเนาบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมอันเป็นเอกสารสิทธิ ซึ่งข้อความในเอกสารเป็นข้อความเท็จทั้งสิ้น และจำเลยได้เซ็นชื่อรับรองว่าเป็นสำเนาถูกต้องไว้ แล้วนำไปใช้กับนายกอบชัย ซอโสตถิกุลกรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ร่วม ปัญหาที่ว่าเอกสารที่จำเลยทำขึ้นและนำไปใช้เป็นการปลอมเอกสารหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่าเอกสาร จ.๑ ถึง จ.๑๓ ซึ่งจำเลยลงนามรับรองว่าเป็นสำเนาอันถูกต้องนี้มีข้อความเป็นเท็จทั้งสิ้น คือ คู่สัญญาที่ปรากฏในเอกสารเหล่านี้มิได้ทำข้อตกลงกันตามข้อความในสัญญาเหล่านี้แต่ประการใด การที่จำเลยทำสำเนาเอกสารเหล่านี้ขึ้นแล้วลงนามรับรองว่าเป็นสำเนาที่ถูกต้องแม้ต้นฉบับอันแท้จริงไม่มี ก็เท่ากับเป็นการปลอมขึ้นทั้งฉบับเพื่อให้เห็นว่าตนได้คัดมาจากต้นฉบับที่แท้จริง การปลอมเอกสารตามกฎหมายหาใช่จำเป็นจะต้องปลอมจากเอกสารที่มีอยู่แท้จริงเสมอไปไม่ ทั้งนี้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๗๒/๒๔๙๖ ระหว่างพนักงานอัยการ กรมอัยการ โจทก์ นายอุดม เศรษฐีธร กับพวก จำเลย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยและพิพากษาลงโทษจำเลยชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย

Share